หลานม่า : ยิ้มทั้งน้ำตาไปพร้อมกับเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘หลาน-ม่า’ หนึ่งในมาสเตอร์พีชที่ละเมียดทางอารมณ์จาก GDH

หลานม่า : ยิ้มทั้งน้ำตาไปพร้อมกับเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘หลาน-ม่า’ หนึ่งในมาสเตอร์พีชที่ละเมียดทางอารมณ์จาก GDH

นับตั้งแต่ตัวอย่างแรกของ “หลานม่า” ออนไลน์บนโลกโซเชียลจนถึงปัจจุบัน มักผมจะเห็นคอมเมนต์ส่วนใหญ่จากคนรอบตัวพูดไปในทิศทางเดียวกันว่าไม่กล้าดู กลัวคิดถึงญาติผู้ใหญ่ที่จากไปแล้วทำใจไม่ได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบก็พอเข้าใจได้ในทันที เพราะเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นบนจอมันไม่ใช่แค่คอนเทนต์รูปแบบหนึ่ง แต่ยังเป็นประสบการณ์ร่วมที่ทุกคนสามารถรีเลทกับมันได้อย่างแท้จริง

“หลานม่า” ว่าด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นตอนกลางนามว่า ‘เอ็ม’ ที่ดร็อปเรียนมาแคสเกมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีงานทำ วันหนึ่งเขาเห็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อใช้เวลาแบบฟูลไทม์มาดูแลอากงจนได้มรดกก้อนใหญ่ ประจวบเหมาะกับ ‘อาม่า’ ของเขาตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง เอ็มจึงคิดแผนการหว่านพืชหวังผล ใช้เวลาฟูลไทม์ดูแลอาม่า เพื่อหวังว่าในท้าทายที่สุดมรดกจะตกเป็นของเขา

จากที่กล่าวไปข้างต้น สำหรับผมแล้วนี่คืองานที่ละเมียดทางอารมณ์และละเอียดอ่อนมากที่สุดชิ้นหนึ่งของ GDH เพราะตลอด 125 นาทีบนจอภาพยนตร์ ผู้กำกับ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ใช้เวลาเล่าเรื่องปูความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ม่า’ กับ ‘หลาน’ รวมไปถึงตัวละครต่าง ๆ ที่รายล้อม ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งจังหวะการพูดคุย จุดเปลี่ยนของเรื่องราว ความหนักเบาทั้งหลายถูกบาลานซ์ได้อย่างลงตัว เราจะได้เห็นการอยู่ร่วมกันและการปรับตัวของวัยรุ่นน่าจะเจนวายกับผู้สูงวัยบูมเมอร์ รวมไปถึงความแตกต่างทางแนวคิดและการวางตัวระหว่างกลุ่มคน 3 ช่วงวัย จนเมื่อทุกอย่างมันแข็งแรงดีแล้ว พอถึงคิวที่ดราม่าต้องทำงาน บอกเลยว่างานนี้ไม่จำเป็นต้องขยี้ใด ๆ ต่อมน้ำตาของคนดูก็พร้อมทำงาน ไล่ระดับตั้งแต่น้ำตาคลอ น้ำตาไหลพราก ไปจนถึงขั้นยิ้มทั้งน้ำตากันเลยทีเดียว 

และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “หลานม่า” เป็นงานที่พิเศษมาก ๆ สำหรับผม คือการซ้อนทับระหว่างภาพ ‘เอ็ม-ม่า’ กับภาพความทรงจำของ ‘ผม-ย่า’ ด้วยความที่ผมเติบโตมาพร้อมกับการมีย่าเป็นส่วนหนึ่งของช่วงวัยเด็ก และตอนนี้สุขภาพของย่าก็เริ่มชราภาพมากแล้ว โมเมนต์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนจอ ไม่ว่าจะเป็นการไปเยี่ยมอาม่าทุกสุดสัปดาห์ การล้อมวงนั่งกินข้าว การที่อาม่ามักจะพูดถึงเอ็มตอนเด็ก ๆ มันจึงค่อนข้างอิมแพ็กกับผมพอสมควร กลายเป็นว่าตัวเรื่องไม่ต้องบิ้วอะไรมากมาย แค่การพูดคุยธรรมดา ๆ ก็เล่นงานผมให้เสียน้ำตาได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ทั้งนี้เพื่อความแฟร์ ต้องบอกว่าภาพรวมของมันก็ไม่ได้ดาร์กหรือเศร้าจนฟูมฟาย และการเสียน้ำตาก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรีเลท “หลานม่า” กับประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาได้มากน้อยแค่ไหน แค่นั้นเลยครับ

 

“หลานม่า” ว่าด้วยเรื่องราว ‘เอ็ม’ ที่ดร็อปเรียนมาแคสเกมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีงานทำ ประจวบเหมาะกับ ‘อาม่า’ ของเขาตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง เอ็มจึงคิดแผนการหว่านพืชหวังผล ใช้เวลาฟูลไทม์ดูแลอาม่า เพื่อหวังว่าในท้าทายที่สุดมรดกจะตกเป็นของเขา