The Legend of Jackie Chan
ผมได้เห็น คลิปหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าประทับใจและเป็นไวรัลอยู่ในขณะนี้ โดยคลิปนั้นเป็นคลิปของ แจ็คกี้ ชาน หรือที่คนไทยเรารู้จักกันนาม “เฉินหลง” กำลังดูภาพฟุตเทจ งานแสดงภาพยนตร์เก่ากับลูกสาว ซึ่งเป็นงานแสดงที่เฉินหลงแสดงผาดโผน ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน และได้เห็นการบาดเจ็บจากการแสดงมากมายซึ่งหลายครั้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ในคลิปลูกสาวถามเฉินหลงว่า เจ็บมั้ย..? เฉินหลงตอบว่า เจ็บมาก...
แล้วลูกสาวก็ชมว่า “พ่อเท่มากเลย” จากนั้นก็ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่ทั้งลูกและพ่อก็ร้องไห้โดยไม่มีคำพูดใด ๆ อีก
คลิปดังกล่าวกลายเป็นไวรัลดัง จนสื่อต่างประเทศหลายสำนักเอาไปเขียนข่าว แต่เมื่อลองหาที่มาที่ไปนั้นที่แท้จริงแล้วนั้น คลิปดังกล่าวเป็นซีนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Ride On เท่านั้น ไม่ใช่ชีวิตจริงของ เฉินหลง แต่อย่างใด
แม้คลิปดังกล่าวจะเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ แต่ฟุตเทจการแสดงที่ปรากฏในคลิปนั้น เป็นของจริงทั้งสิ้น สำหรับบรรดาแฟนหนังฮ่องกง และแฟนหนังฮอลลีวู้ดของเฉินหลงนั้น ต่างทราบดีว่าเฉินหลงคือตัวจริงคนหนึ่งในวงการหนังแอคชั่น ประวัติชีวิตของเขานั้นล้มลุกคลุกคลานมาไม่ต่างจากคนอื่นครับ เข้าข้อความที่ว่าก่อนจะนิ่งก็กลิ้งมาก่อนเช่นกัน เฉินหลง (Jackie Chan) มีชื่อจริงว่า เฉิน กั่งเซิง เกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 1954 ตอนเด็ก ๆ นั้นครอบครัวเขาไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ของเขาได้ส่งเขาไปเรียนเกี่ยวกับการแสดงอุปรากรจีน เพื่อที่อย่างน้อยเฉินหลงได้มีความรู้การแสดงทางจีนติดตัวเพื่อได้ทำการแสดงโชว์ไม่อดตาย แต่แล้วในช่วงนั้นการเมืองในประเทศจีนกลับไม่นิ่ง ด้วยเหตุที่จีนแบ่งขั้วและรบกันระหว่าง เหมา เจ๋อ ตุง และ เจียง ไค เช็ค ทำให้เฉินหลงเองนั้นได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในประเทศไทยช่วงหนึ่ง โดยอาศัยอยู่ที่เยาวราช ซึ่งเฉินหลงได้เล่าถ่ายทอดให้ฟังหลายครั้งเมื่อมาเยือนไทยว่า เขาต้องเข็นผักขายในแต่ละวัน เพื่อทำงานสะสมเงินเลี้ยงตัวเอง และยังคงจำศัพท์ไทยได้มากมายหลายคำทีเดียว
เฉินหลงได้เดินทางกลับไปยังฮ่องกง และได้เริ่มต้นอาชีพการแสดงเมื่ออายุได้ 17 ปี โดยเริ่มแรกจากการเข้าทีมสตันท์แมน ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่น่าจดจำคือเขาได้มีโอกาสเข้าฉากร่วมแสดงกับ บรู๊ซ ลี ในภาพยนตร์เรื่อง Fist of Fury “ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น” แต่หลังจากการเสียชีวิตของ บรู๊ซ ลี วงการหนังกังฟูแอคชั่นก็เข้าสู่ช่วงตกต่ำ เนื่องจากขาดดาราหลักชูโรงในหน้าจอภาพยนตร์ ซึ่งสำหรับในประเทศจีนนั้น การปั้นดาราหน้าใหม่ในวงการล้วนเป็นเรื่องยาก เพราะคนจีนในเวลานั้นล้วนต่างนิยมดาราเบอร์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่เดิมเท่านั้น เมื่อไม่มี บรู๊ซ ลี เฉินหลงก็กลับมาเป็นคนตกงานอีกครั้ง ซึ่งในเวลานี้ตรงกับช่วงปี 70S เฉินหลง ถึงกับต้องแก้ผ้าเอาหน้ารอด ลงไปเล่นภาพยนตร์เกรด 3 ของฮ่องกง หรือหนังผู้ใหญ่นั่นเอง ซึ่งเรื่องราวนี้ได้มาเปิดเผยภายหลังที่เขามีชื่อเสียงมากแล้วนั่นเอง
เป็นเวลามากพอสมควรที่ เฉินหลง ห่างออกจากวงการผลิตภาพยนตร์หลัก แต่แล้วโอกาสที่ริบหรี่ก็กลับมีความหมายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ หลอ เหว่ย ผู้กำกับหนัง Fist of the Fury มีความคิดที่ต้องการปั้นนักแสดงแอคชั่นหน้าใหม่ขึ้นมาแทนที่ บรู๊ซ ลี และเขาก็พุ่งความสนใจไปที่ เฉินหลง ที่สามารถแสดงฉากแอคชั่นได้ดีโดยไม่พึ่งสตั้นท์แมน เขาจึงได้จับเฉินหลง มาเซ็นสัญญาเล่นหนังแอคชั่น แต่ผลคือไม่มีเรื่องไหนที่ประสบความสำเร็จเลย แต่หน้าและชื่อของเฉินหลง เริ่มแทรกซึมเข้าไปสู่บรรดาผู้ชมแฟน ๆ หนังกังฟูทั้งในฮ่องกงและเอเชีย ชนิดที่เรียกว่า “น้ำซึมบ่อทราย”
แต่แล้วจุดพลิกผันก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ เฉินหลง ได้ไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง Snake in the Eagle’s Shadow “ไอ้หนุ่มพันมือ” หนังประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลทั้งในฮ่องกงและเอเชีย และภายในปีเดียวกันนั้น ก็เพิ่มเติมความสำเร็จเข้าไปอีกกับบทบาท ไอ้หนุ่มหมัดเมา ในภาพยนตร์เรื่อง Drunken Master โดยเรื่องดังกล่าวทำรายได้มากกว่าเรื่องก่อนหน้า ใบหน้าและชื่อของเฉินหลงเริ่มเป็นที่นิยม มีชื่อเสียงโด่งดังจากแนวทางการแสดงหนังที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้ โดยในประเทศไทยเอง ก็ให้ความนิยมในตัวเฉินหลงมาก ซึ่งเฉินหลงเองก็มีความผูกพันกับประเทศไทยมาก เช่นกัน ในสมัยก่อนเมื่อมีการออกภาพยนตร์ใหม่ เฉินหลงจะบินมาเปิดตัวที่ไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการต่าง ๆ บางครั้งกินเวลาเป็นสัปดาห์เหมือนได้พักผ่อนและท่องเที่ยวไปในตัวด้วย และสมาคมภาพยนตร์ก็จะมีคำนิยมให้กับภาพยนตร์ของเฉินหลงเป็นคำว่า “วิ่ง” และ “ฟัด” อยู่เสมอ เช่น “วิ่งกระเตงฟัด” “คู่ใหญ่ฟัดข้ามโลก” หรือ “หน่วยพิทักษ์ฟัดข้ามโลก”
ในปี 1980 เฉินหลงได้มีโอกาสไปชิมลางบุกเบิกการแสดงฝั่งฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในเรื่อง Battle Creek Brawl ไอ้มังกรถล่มปฐพี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาได้ถอยกลับมาทำภาพยนตร์ที่ฮ่องกงอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องทำเงินและประสบความสำเร็จอย่างสูงที่สุดกับเรื่อง Police Story หรือชื่อภาษาไทย “วิ่งสู้ฟัด” ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวยังผลให้เฉินหลงได้รับรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงถึง 2 รางวัลสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ออกแบบฉากต่อสู้ยอดเยี่ยม ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวทำให้มีภาคต่อของ “วิ่งสู้ฟัด” ออกมาอีก 5 ภาค ซึ่งรวมเป็น “วิ่งสู้ฟัด” ภาค 1-5 และ “วิ่งสู้ฟัด” ภาคพิเศษ Crime Story อีก 1 ภาค
ในปี 1998 เฉินหลง ได้กลับไปร่วมงานกับทาง ฮอลลีวู้ด อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นเวลาที่สุกงอมอย่างที่สุด ทั้งในเรื่องของอายุ ประสบการณ์การแสดง และชื่อเสียงของเฉินหลง และทั่วโลกได้จดจำชื่อของเขาใหม่คือ “Jackie Chan” โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเป็นการแสดงร่วมกับนักแสดงตลกมากฝีมืออย่าง Chris Tucker กับเรื่อง Rush Hour หรือคู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด เป็นหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้ เกี่ยวกับคู่หูสัญชาติจีน-อเมริกัน กำกับโดย เบร็ต แรตเนอร์ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนต้องทำออกมาเป็นไตรภาค โดยภาค 2 ในปี 2001 และคู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด 3 ออกฉายในปี 2007, และเฉินหลงได้มีภาพยนตร์กับทางฮอลลีวู้ดต่อมาอีกหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งล้วนต่างประสบความสำเร็จ
ในเรื่องของการงานเฉินหลงประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ในเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องของลูก ๆ นั้น เป็นอะไรที่แตกต่างออกไป ลูกชายของเฉินหลง เจย์ซี ชาน นั้นได้ดำเนินรอยตามวิถีการแสดงของผู้เป็นพ่อ แต่กลับมีเรื่องปวดหัวให้กับเฉินหลงอยู่เรื่อย ๆ ทั้งเรื่องธุรกิจที่ล้มเหลว หรือการถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนในประเทศจีน ด้วยข้อหาครอบครองกัญชาเมื่อปี 2014 รวมถึงเรื่องความไม่เอาใจใส่กับงานจนถึงขั้นที่เฉินหลงออกมาประกาศว่า “เมื่อเขาเสียชีวิตไป สมบัติทุกอย่างที่ได้รับจากการแสดง จะไม่ตกเป็นของลูกชาย แต่เงินทั้งหมดจะถูกนำไปบริจาคให้กับการกุศลแทน” ซึ่งสาเหตุที่เขาต้องทำแบบนี้ เพราะต้องการให้ลูกชายของเขาขยันทำงานหนัก รับผิดชอบต่อตนเอง และเฉินหลงเชื่อว่าลูกชายของเขา จะสามารถหาทางสร้างเงินของตัวเองขึ้นมาได้สักวัน
แต่ในส่วนของลูกสาวนั้นแตกต่างออกไป เอ็ตต้า อู๋ ลูกสาวนอกสมรสของ เฉินหลง กับ ออีตนางงามเอเชีย เอเลน อู๋ ซึ่งมีข่าวออกมาว่า เฉินหลงและเอเลนได้ตัดขาดจากลูกสาวของเขา เนื่องจากมีรสนิยม LGBTQ ซึ่งตอนนี้ เอ็ตต้า อู๋ อาศัยอยู่ที่แคนาดา มีสภาพไม่ต่างจากคนเร่ร่อน มีคนเห็นและถ่ายภาพเธอยืนเข้าแถวรอรับอาหารฟรี ซึ่งสภาพและคุณภาพชีวิต แตกต่างจาก เจย์ซี ชาน ลูกชายของเฉินหลงเป็นอย่างมาก มีประเด็นครั้งหนึ่งที่ เอ็ตต้า อู๋ ออกมาอัดคลิปแนะนำตัวและออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวโซเชี่ยล ซึ่งไม่มีการตอบรับความช่วยเหลือใด ๆ จาก เฉินหลง แต่ เอเลน อู๋ ผู้เป็นแม่ ได้ตอบโต้ผ่านสื่อว่า “ถ้าไม่มีเงิน ก็ออกไปหางานทำสิ ไม่ใช่ออกมาขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นนี้”
ซึ่งในปัจจุบัน เอ็ตต้า อู๋ และเอเลน ออทัม แฟนสาวที่มีอายุกว่า 12 ปี ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องและใช้ชีวิตร่วมกันที่แคนาดา โดย แอนดี้ ออทัม เป็นนักทำคอนเท้นท์การแต่งกายคอยเพลย์ทางสื่อโซเชี่ยลต่าง ๆ