Next Program 101 : เตรียมความพร้อม เมื่อเธอคือทุกสิ่ง ส่วนเขาก็เป็นแค่เคน ก่อนร่วมเดินทางค้นหาความหมายของการมีตัวตนใน “Barbie บาร์บี้”
จากตุ๊กตาของเล่นที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 นับตั้งแต่วินาทีนั้น “บาร์บี้” ก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อวงการของเล่น รวมไปถึงสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของสิทธิและความเท่าความเทียมอันหลากหลายของเหล่าผู้คนในสังคมอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่ว่าได้รับโอกาสขึ้นปกบนนิตยาสาร Time ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2016 กันเลยทีเดียว
ปีนี้! ถึงเวลาแล้วที่ตำนานอันทรงคุณค่ากว่า 64 ปีจะได้ฤกษ์เฉิดฉายบนจอภาพยนตร์ทั่วโลก “Barbie บาร์บี้” ผลงานการกำกับและร่วมเขียนบทโดย เกรตา เกอร์วิก (จาก Little Women และ Lady Bird) นำแสดงโดยดีกรีผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง มาร์โก้ ร็อบบี้ (จาก Bombshell และ I, Tonya) ในบท “บาร์บี้” และ ไรอัน กอสลิ่ง (จาก La La Land และ Half Nelson) ในบท “เคน”
และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องให้ร้อน เตรียมความพร้อมก่อนรับชม Barbie ที่มีกำหนดเข้าฉายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ทาง MiX Magazine จึงอาสาพาคุณผู้อ่านทุกท่านร่วมย้อนรอยเส้นทาง รวมไปถึงเรื่องราวเบื้องหลังการสร้าง ที่อาจช่วยเพิ่มอรรถรสได้ไม่มากก็น้อย เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้ว Let's Get It!
When I Was Just A Little Girl จุดเริ่มต้นของบาร์บี้
ช่วงทศวรรษ 1950 ในยุคที่ของเล่นของเด็กผู้หญิงมีเพียงแค่ตุ๊กตาเด็กน้อยน่ารักและเหล่าสรรพสัตว์ต่างๆ รูท แฮนด์เลอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Mattel ได้รับแรงบันดาลใจจากลูกสาวชื่อของเธอ บาร์บาร่า ที่ชอบเล่นตุ๊กตากระดาษ และมักจินตนาการถึงการค่อยๆ เติบโตใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์
ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกัน รูท แฮนด์เลอร์ ได้พบสินค้าของประเทศเยอรมนีอย่างตุ๊กตา “บลายธ์ ลิลลี่” (Bild Lilli) ที่ได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ เธอจึงนำทั้ง 2 สิ่งนี้มาผสมผสานกันจนกำเนิดขึ้นเป็น “บาร์บี้” (Barbie) ที่ตั้งชื่อตามลูกสาวของเธอ โดยตุ๊กตาตัวนี้มีความสูงอยู่ที่ 11 นิ้ว สวมชุดว่ายน้ำลายทางขาวดำ ไว้ผมหางม้าสีบลอนด์ ทาลิปสติกสีแดง และมีชื่อเต็มๆ ว่า บาร์บารา มิลลิเซนต์ โรเบิร์ตส์ (Barbara Millicent Roberts)
โดย บาร์บี้ เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในงาน American International Toy Fair ที่นิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.1959 (ภายหลังถือว่านี่คือวันเกิดอย่างเป็นทางการของบาร์บี้) พร้อมทำยอดขายภายในปีแรกสูงกว่า 350,000 ตัวเลยทีเดียว
Barbie Movement บาร์บี้ผู้ทรงอิทธิพล
นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี ค.ศ.1959 ตุ๊กตาบาร์บี้ก็ได้สร้างปรากฎการณ์ นำไปสู่แรงกระเพื่อมที่ช่วยขับเคลื่อนสังคม ผ่านการเป็นตุ๊กตาของเล่นและภาพยนตร์แอนิเมชันในรูปแบบ 3 มิติ เริ่มตั้งแต่คอนเซ็ปต์ที่ว่าด้วยการเป็นตัวแทน ส่งเสริมบทบาท สร้างความเท่าเทียม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหญิงสาวทุกช่วงวัย ไม่ว่าคุณจะพิการหรือไม่ มีรูปร่าง สีผิว หรือทรงผมแบบไหน คุณก็สามารถเป็นได้และทำได้ทุกสิ่งดังใจปรารถนา
ดังจะเห็นได้จากในที่ปัจจุบันนี้ ตุ๊กตาบาร์บี้แต่ละรุ่นถูกผลิตออกมาแล้วมากกว่า 200 อาชีพ มีบาร์บี้หลากหลายรูปแบบ รูปร่าง สีผิว ทรงผม และอื่นๆ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการเป็นตุ๊กตาหญิงสาวผิวขาว ผมบลอนด์ รูปร่างดี ปกติสมบูรณ์ เหมือนเช่นวันแรกที่เคยปรากฏตัวเมื่อ 64 ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ สำหรับบาร์บี้ในฉบับภาพยนตร์แอนิเมชันในรูปแบบ 3 มิติ นับตั้งแต่ Barbie in the Nutcracker (2001) ที่ในช่วงแรกมุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อต่อสู้กับหลากปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ผ่านเรื่องราวที่อิงมาจากเรื่องเล่า เทพนิยาย หรือความเป็นเจ้าหญิง ก่อนขยับทิศทางแก่นเรื่องไปสู่ความต้องการเป็นอิสระ ปลดแอกจากกรอบที่ถูกตีตรา เปลี่ยนแปลงความซ้ำซากจำเจ เพื่อมุ่งสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม
Barbie The Movie เฉิดฉายสู่ฉบับภาพยนตร์
“บาร์บี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นที่รักและอยู่ในประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 60 ปี นับเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับฉันในฐานะผู้เขียนบทร่วมและผู้กำกับ ฉันมักที่จะมองหาความท้าทายที่สร้างความสนุกสนานมาตลอด อย่างผลงาน Little Women (2019) บาร์บี้คือสิ่งที่พวกเรารู้จักกันดี สำหรับฉันรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครหนึ่งที่มีเรื่องราวให้ถ่ายทอด เป็นตัวละครที่ฉันเห็นความแปลกใหม่ในการพาเธอเข้าสู่โลกที่แปลกใหม่ สดใส และทันสมัย” เกรตา เกอร์วิก ผู้กำกับและมือเขียนบทร่วมของภาพยนตร์กล่าว
ย้อนกลับไปในปี 2020 นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เกรตา เกอร์วิก และ โนอาห์ บัมบาค มือเขียนบทดีกรีผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ได้ร่วมมือกันเขียนบทภาพยนตร์ Barbie The Movie ในขณะที่พวกเขาต่างกักตัวอยู่ในอพาร์ทเมนท์ของตัวเอง ก่อนที่เกรตาจะตัดสินใจกำกับด้วยตัวเอง
“บาร์บี้มาถึงมือฉันผ่าน มาร์โก้ ร็อบบี้ ค่ะ เพราะเธอคือคนที่ได้สิทธิ์และส่งต่อมันให้กับ วอร์เนอร์ บราเธอส์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโปรเจ็กต์ทั้งหมด เราได้พบกันและฉันก็เป็นแฟนตัวยงของเธอในฐานะนักแสดง การพูดคุยทำให้ฉันได้เห็นถึงความน่าทึ่งของเธอในฐานะของโปรดิวเซอร์ เธอฉลาดมากและมีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว เรียกได้ว่าน่าสนใจจริงๆ” เกรตา เกอร์วิก กล่าวเพิ่มเติมถึง มาร์โก้ ร็อบบี้ นักแสดงนำและโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้
หลังจากนั้น Barbie ก็ได้เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี ค.ศ. 2022 โดยเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือ ประกอบด้วย รอดริโก ปริเอโต ผู้กำกับภาพดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์ (จาก The Irishman และ Brokeback Mountain), ซาราห์ กรีนวู้ด ผู้ออกแบบงานสร้างดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์หกครั้ง (จาก Beauty and the Beast), นิก ฮอย มือตัดต่อ (จาก Little Women และ Lady Bird), แจ็คกาลีน เดอร์แรน นักออกแบบเครื่องแต่งกายดีกรีผู้ชนะรางวัลออสการ์ (จาก Little Women และ Anna Karenina), เกลน แพรตต์ ผู้ควบคุมเทคนิคพิเศษ (จาก Paddington 2 และ Beauty and the Beast), จอร์จ ดราคูเลียส ผู้ควบคุมดนตรี (จาก White Noise Marriage Story) และ อเล็กซานเดอร์ เดสแพลต นักประพันธ์ดีกรีผู้ชนะรางวัลออสการ์ (จาก The Shape of Water จาก The Grand Budapest Hotel)
I'm a Barbie Girl, in the Barbie World โลกสุดอัศจรรย์ของบาร์บี้และเคน
“สิ่งแรกและสิ่งสำคัญคือฉันอยากให้บาร์บี้แลนด์เป็นดินแดนแห่งความสุข เหมือนตอนที่บาร์บี้อยู่ในจินตนาการวัยเด็กของเรา ช่วงวันแรกที่ได้พบกับ ซาราห์ กรีนวู้ด (ผู้ออกแบบงานสร้าง) และทีมงานฝ่ายศิลป์ เรามองหาโทนสีชมพูที่ต่างกัน เพื่อดูว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ตอนเป็นเด็กฉันชอบสีชมพูที่สว่างสดใส แต่บาร์บี้แลนด์ก็จะเต็มไปด้วยสีสันที่สดใส สิ่งสำคัญคือต้องนึกภาพว่าสีชมพูสว่างเหล่านั้นจะต้องอยู่บนฉากของเรา มีสีชมพูพาสเทล และแน่นอนว่าจะต้องมีสีชมพูทุกโทนมาผสมระหว่างนั้นด้วย” เกรตา เกอร์วิก กล่าว
“ในบาร์บี้แลนด์ไม่มีพื้นที่สำหรับกฎของนิวตัน ไมมีลม ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีแรงโน้มถ่วง และไม่มีน้ำ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์อยู่ในโลกที่มีเรื่องฟิสิกส์ เมื่อต้องสร้างความสมจริงให้บาร์บี้แลนด์ จึงมีการสร้างกฎในบาร์บี้แลนด์และกฎสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ จนได้ผลลัพธ์จากการผสมผสานกันของทั้ง 2 สิ่ง ฉันหลงรักละครเวทีมิวสิเคิลยุค 1950 เป็นดินแดนที่สร้างขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง และเพราะบาร์บี้ผลิตขึ้นเมื่อปี 1959 ทำให้รู้สึกว่าเรานำมาใช้อ้างอิงได้ทุกอย่างและไม่ต้องยกความดีความชอบให้กับอะไร ฉันอยากให้ทุกคนรู้สึกว่าสามารถสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างในจอภาพยนตร์ได้ เพราะนั่นคือข้อดีของตุ๊กตาและของเล่น ฉันจำตอนที่ยืนในร้าน Toys ”R” Us และดูบาร์บี้ ข้าวของเครื่องใช้พลาสติกของพวกเธอได้ ฉันรู้สึกอยากเข้าไปอยู่ในนั้นและหยิบจับทุกอย่างเลยค่ะ!” เกรตา เกอร์วิก กล่าวเพิ่มเติม
“บาร์บี้แลนด์เต็มไปด้วยความเรียบง่าย คุณมีรถ มีบ้าน และมีเคน นั่นคือความสนุกของบาร์บี้แลนด์ เป็นโลกที่ต่างจากความจริงเพราะผู้ชายต้องคอยทำนั่นทำนี่ ส่วนบาร์บี้แลนด์จะตรงกันข้ามเพราะสาวๆ คือเหล่าบาร์บี้ต้องทำทุกสิ่ง พวกเราจะเห็นว่าบาร์บี้ทุกคนมีบ้านในฝันของบาร์บี้เป็นของตัวเอง เมื่อพวกเธอตื่นตอนเช้าก็จะโบกมือทักทายกัน มองเห็นกันได้เพราะไม่มีผนังกั้น พวกเธอรักแบบนั้น ไม่มีอะไรต้องอาย เหมือนกับสวนแห่งเอเดนก่อนที่จะต้องสวมใส่เสื้อผ้า นั่นคือบาร์บี้แลนด์ต่างกันตรงที่พวกเธอสวมเสื้อผ้า และดูดีมีเสน่ห์มากด้วย!” มาร์โก้ ร็อบบี้ นักแสดงนำและโปรดิวเซอร์กล่าว
Life in Plastic, It's Fantastic จากตุ๊กตาพลาสติก สู่ความแฟนตาสติก
“มาร์โก้ ร็อบบี้ มีความเป็นบาร์บี้อย่างที่เราคิดภาพไว้ เหมือนที่เธอพูดไว้ในหนัง ‘ฉันคือบาร์บี้ในแบบที่ทุกคนคิดถึงบาร์บี้นั่นแหละ’ เวลาเรานึกถึงสาวแสนสวย น่ารักสดใส ผมสีบลอนด์ที่เคยผ่านตามาก็จะนึกถึงมาร์โก้ แต่สิ่งที่ฉันอยากทำที่สุดคือให้เธอดูมีความตลกแหวกแนว เธอคือคนที่คุณจะได้ออกไปผจญภัยด้วยในหนัง และเนื่องจากเธอถ่ายทอดทุกอย่างได้เป็นธรรมชาติ เข้าใจง่าย และสะท้อนอารมณ์ได้ดีเวลาเจอเรื่องตลกและสนุกสนาน คุณจะไม่รู้สึกว่าขาดชีวิตชีวาไปเลย ส่วนเคน เราเขียนบทนี้ขึ้นมาสำหรับ ไรอัน กอสลิ่ง เป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะรับบทดราม่าได้เก่งกาจ แต่ฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคนตลกมาก เห็นได้จากการแสดงใน ‘Saturday Night Live’ จึงไม่มีตัวเลือกอื่นเลยนอกจากไรอันค่ะ” เกรตา เกอร์วิก กล่าว
เพราะการใช้ชีวิตอยู่ใน บาร์บี้แลนด์ เหมือนการได้อยู่ในสถานที่สมบูรณ์แบบ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของ บาร์บี้ ล้วนเต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน เว้นเสียแต่เราจะพบว่า ชีวิตที่อาศัยอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ช่างไร้ความหมาย หรือเป็นเหมือน เคน โดย Barbie ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าบาร์บี้และเคน ต่างอาศัยอยู่ในดินแดนสุดอัศจรรย์นามว่า “บาร์บี้แลนด์” ทุกๆ วันของพวกล้วนเต็มไปด้วยการเม้าท์มอย เที่ยวเล่น เต้นรำ และทำสิ่งต่างๆ ที่อยากจะทำร่วมกัน
แต่อยู่มาวันหนึ่ง “บาร์บี้” (มาร์โก้ ร็อบบี้) ค้นพบว่าความอัศจรรย์เหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากเธอ อีกทั้งเท้าที่เคยยกสูงราวกับสวมใส่ส้นสูงตลอดเวลากลับแบนราบขนานกับพื้นโลก เธอจึงต้องจากลาโลกอันเป็นที่รักเพื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดยมี “เคน” (ไรอัน กอสลิ่ง) แฟนหนุ่มผู้มีชีวิตอยู่เพื่อติดตามเธอไปทุกหนแห่ง ร่วมออกผจญภัยค้นหาความหมายของการมีตัวตนไปพร้อมกัน
“บาร์บี้คือแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก สร้างความผูกพันให้กับผู้คน การสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับบาร์บี้ขึ้นมานับเป็นโอกาสสุดพิเศษ อย่างหนึ่งเราคิดว่าทำให้เราสร้างความพิเศษขึ้นมาได้อย่างที่ไม่คาดคิด สร้างความตื่นเต้นและพิถีพิถัน อย่างที่เกรตาบอกไว้ว่ามันยังน่ากลัวด้วย! เรารู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ในฐานะของผู้ชมคนหนึ่งเข้าใจดีว่าทุกคนจะคิดและรู้สึกอย่างไรกับบาร์บี้ มันจะดีหรือไม่ดีกันแน่ เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่แต่เราก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันค่ะ” มาร์โก้ ร็อบบี้ กล่าว
“บทเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงทุกอย่างที่ผมรักในช่วงที่โตขึ้นมา แต่มีความต่างจากสิ่งที่เคยเห็นมาก่อน มีความสนุกสนานไม่แพ้เรื่องราวสะเทือนใจ มีความไร้สาระไม่แพ้กับเรื่องที่ชวนให้คิดลึกซึ้ง มีครบทุกอย่างในเรื่องเลยครับ ตัวละครเคนของผมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเฝ้าดูความน่าทึ่งของบาร์บี้ ในเรื่องมีประโยคที่เขาพูดว่าเขารู้สึกอบอุ่นเวลาที่บาร์บี้มองดูเขา เขาไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเองเลยมักจะพบเรื่องชวนปวดหัว แต่เขามีงานทำที่ ‘ชายหาด’ เขาไม่แน่ใจนักว่างานนั้นคืออะไรกันแน่ แต่เขาก็อยากทำให้ดีที่สุด สิ่งที่กระตุ้นให้เคนออกไปผจญภัยร่วมกับบาร์บี้ คือเขาถูกเรียกว่าแฟนของเธอ แม้ว่าจะไม่เห็นความพิเศษอะไรในความสัมพันธ์นัก แต่พวกเขาก็ถูกจับคู่กันและเป็นเหตุผลที่มีเขาขึ้นมา มันเลยเป็นเรื่องยากสำหรับเคนที่จะปล่อยให้เธอไปโดยไม่มีเขา” ไรอัน กอสลิ่ง นักแสดงนำกล่าว
Barbie The Album ซาวด์แทร็คสุดเฟียส จากเหล่าศิลปินตัวตึง
“ในภาพยนตร์มีเสียงเพลงและดนตรีประกอบเยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกับฉันสุดๆ บาร์บี้มีการมองโลกในแง่ดีสูงมาก ตอนที่เราเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องถ่ายทอดความสนุกสนานกับบรรยากาศที่ ‘ไม่ว่าใครก็อยากลุกขึ้นมาเต้น’ ออกมาให้ได้ มาร์ก รอนสัน (ศิลปิน โปรดิวเซอร์ และผู้ก่อตั้งค่าย Allido Records) ตั้งใจหาศิลปินที่จะมาสร้างความมหัศจรรย์ให้บทเพลงเหล่านี้ ทั้ง Dua Lipa, Lizzo, Nicki Minaj, Karol G และอื่นๆ อีกมากมาย! นับว่าโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับศิลปินทุกคน มาร์กและผู้ร่วมงานของเขาได้สร้างบรรยากาศความวุ่นวายของเคนที่ไรอันเป็นคนร้องออกมาได้อย่างอลังการ เรามีเพลงช้าที่ทำให้ฉันร้องไห้ได้ตอนที่ฟังเลยคะ” เกรตา เกอร์วิก กล่าว
Humans Only Have One Ending, Ideas Live Forever ชีวิตแสนสั้น แต่ไอเดียนั้นคงอยู่ตลอดกาล
“ถ้าคุณรักบาร์บี้ หนังเรื่องนี้เหมาะกับคุณ ถ้าคุณเกลียดบาร์บี้ หนังเรื่องนี้ก็ยังเหมาะกับคุณ” ขอต้อนรับสู่การผจญภัยที่อยู่เหนือทุกความคาดเดา เพราะเธอคือทุกสิ่ง ส่วนเขาเป็นแค่เคน “Barbie บาร์บี้” 20 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Warner Bros. Thailand