ต้องปวดหัว เพราะขายรถแบบโอนลอย

ต้องปวดหัว เพราะขายรถแบบโอนลอย

การซื้อขายของมือสองในยุคปัจจุบัน เรามักเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทว่าหากไม่ระมัดระวัง การซื้อขายของบางอย่างอาจนําพาคดีความมาหาเรา ก็เป็นได้ เหมือนอย่างที่พีได้เจอกับตัวเอง

พี หนุ่มพนักงานบริษัทเอกชน มีรถอยู่คันหนึ่งซึ่งใช้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เนื่องจากเขาใช้รถคันนี้มาหลายปี และวันนี้เขาพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่งก็อยากจะ เปลี่ยนรถใหม่เพราะคันเดิมที่ใช้อยู่นั้นต้องซ่อมอยู่เป็นประจํา เรียกได้ว่า สามวันอยู่บ้าน สี่วันอยู่อู่ก็ว่าได้ เขาจึงตัดสินใจประกาศขายรถทางอินเตอร์เน็ต เพื่อหวังจะได้ราคามากกว่า เต็นท์รถเสียหน่อย และเมื่อประกาศไปไม่นานก็มีผู้ต้องการซื้อติดต่อเข้ามา อยู่หลายราย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ตัดสินใจขาย หลัก ๆ เป็นเพราะตกลง เรื่องราคากันไม่ได้ ๆ

จนกระทั่งเขาเจอกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งไม่ได้พบกันนานมากแล้ว รุ่นพี่คนนี้ เป็นคนที่รู้จักคนเยอะ เขาจึงแนะนําผู้ซื้อให้รายหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามเรื่องราคา และตรวจสอบรถแล้ว ก็ตกลงซื้อขายกันแต่ไม่ได้ทําสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด การซื้อขายผ่านไปได้ด้วยดี ในวันนั้นผู้ซื้อได้ชําระเงินให้ทั้งหมดและพี่ก็ส่ง มอบรถให้แก่ผู้ซื้อเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน อีกทั้งมีการโอนลอยในเอกสารโอนรถ และใบมอบอํานาจแล้ว หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันมีตํารวจมาที่บ้าน และกล่าวหาว่า เขาขับรถชนคนเสียชีวิต

พี่ตกใจมาก เพราะเขาได้ขายรถคันนั้นไปแล้ว แต่พูดอย่างไร

Q : เอาละครับ เรื่องราวเป็นแบบนี้ เขาจะทําอย่างไร และจะมีความผิด หรือไม่

A : จากข้อเท็จจริงที่ได้ขายรถไปแล้วแต่ไม่ได้มีสัญญาซื้อขายรถ แต่อย่างใด ถึงแม้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้เช่นรถยนต์

หลักของสัญญามิได้กําหนดแบบให้ต้องทําเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ประการใด เมื่อผู้ขายได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อแล้ว และผู้ซื้อก็ได้จ่ายค่าตอบแทน ไปครบถ้วนแล้ว สัญญาซื้อขายก็เสร็จสมบูรณ์ เมื่อผู้ซื้อยังไม่ไปดําเนินการ

กรณีดังกล่าวจึงเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่ขายรถยนต์และโอนลอย ซึ่งกรมการขนส่งทางบก ระบุความหมายของการโอนลอยไว้คือ การที่เจ้าของรถได้ขายรถของตนแล้วและกระทํา การลงนามในเอกสารการโอนรถ และใบมอบอํานาจให้แก่ผู้ซื้อโดยยังมิได้มีการดําเนินการ ทางทะเบียนที่สํานักงานขนส่ง ดังนั้นหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์จึงมีความจําเป็นและ สําคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะระบุรายละเอียดข้อมูลของผู้ซื้อขาย และยังมีข้อมูลของการซื้อขายไว้ด้วยเช่น - วันที่ราคา ใครรับผิดชอบเรื่องการโอน หรือหากมีการมัดจํา จํานวนเท่าใด มีการชําระเงิน และได้รับทรัพย์สินนั้นแล้ว และทั้งสองฝ่ายต้องถือสัญญาที่ถูกต้องตรงกันไว้คนละหนึ่งฉบับ เพื่อแสดงอ้างในกรณีเมื่อผู้ซื้อทรัพย์สิน (รถยนต์) ได้นําไปใช้ประโยชน์และเกิดอุบัติเหตุ หรือใช้ในการกระทําความผิดกฎหมาย อีกทั้งในกรณีผู้ขายเองที่ไม่สุจริตอาจไปแจ้งว่า รถยนต์ของตนเองหายก็ได้

สรุปถึงแม้ว่าพี่จะไม่มีความผิดแต่ต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอนครับ ดังนั้น การซื้อขายรถยนต์ทุกครั้งต้องทําสัญญาซื้อขายไว้ครับ เพราะอย่างน้อยเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถนํามายืนยันความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และทรัพย์สินนั้นอยู่ในความครอบครองของใครได้

ต้องปวดหัว เพราะขายรถแบบโอนลอย