โลกสดสวยด้วยกัญชา CANNABIS
“ก้านไอ ใบเสลด เม็ดขี้ตา” เป็นวลีที่ผมได้ยินออกจากปากของคุณ โรเบิร์ต สายควัน ดาราตลกอัจฉริยะผู้ล่วงลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ที่กล่าวถึงสรรพคุณของสมุนไพรกัญชา ในขณะที่กําลังสวมบทบาทเล่นตลกอยู่ในรายการ “บริษัทฮาไม่จํากัด” วลีดังกล่าวทําให้บรรดาแฟน ๆ หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งและเป็นวลีฮิตตลอดกาล ที่ได้ยินทีไรก็มักจะนึกถึงตลกผู้ผู้ล่วงลับรายนี้ ในอีกนัยหนึ่งกัญชาเองก็มีสรรพคุณทางการแพทย์ในหลาย ๆ ด้าน ที่คนใกล้ตัวใช้อยู่ก็เป็นน้ำมันกัญชาสกัดหยอดใต้ลิ้นทําให้หลับสบาย รักษาอาการนอนไม่หลับจากโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี
ก่อนเข้าเรื่องผมขอเกริ่นก่อนว่า ในสมัยผมเป็นเด็กเรียนมัธยมนั้น มีคุณครูสังคมท่านหนึ่ง ได้สอนประวัติศาสตร์ประเทศจีนตอนหนึ่งว่า “ในสมัยปลายราชวงศ์ชิง (คังซี) ได้ทําการค้ากับประเทศอังกฤษ อังกฤษเอาใบชาจากประเทศจีนไป ส่วนจีนก็ได้รับกัญชาจากอังกฤษกลับมา ทําให้มีการเสพกัญชากันทั้งประเทศ ส่งผลให้ประเทศจีนนั้นอ่อนแอลงทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจและพ่ายแพ้ต่อสงคราม และสิ้นราชวงศ์” จากการให้ข้อมูลการสอนดังกล่าวนั้น ถือเป็นการสอนที่ออกทะเลไปมาก ประเทศจีนไม่ได้พ่ายแพ้เพราะเสพกัญชาทั้งประเทศ ประเทศจีนมีการใช้กัญชามานานเป็นหลักพันปีแล้ว อีกทั้งการหาข้อมูลเชื่อมโยงเกี่ยวกับประเทศอังกฤษนํากัญชาไปขายให้ประเทศจีนนั้นก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ จึงถือได้ว่าเป็นการพูดลอย ๆ ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์มากทีเดียว
มนุษย์เรานั้นมีหลักฐานของการใช้กัญชามานานแล้วครับ แต่รูปแบบของการใช้งานประโยชน์จากกัญชานั้นต่างออกไป มนุษย์ในสมัยโบราณกว่าจะรู้ในเรื่องของการพี้กัญชานั้นก็ใช้เวลาพอสมควร ไม่ได้ปราดเปรื่องเอาใบมาอบแห้งแล้วยําสูบพันลํากันตั้งแต่ครั้งแรก โดยแรกเริ่มนั้นมนุษย์ได้นําต้นกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางด้านสิ่งทอ โดยอาศัยใยจากลําต้นของกัญชามาถักเป็นเชือกหรือถุงผ้า โดยปรากฏเป็นหลักฐานที่ขุดค้นพบเป็นจํานวนมาก โดยวัดจากคราบคาร์บอนที่ปรากฏ ประมาณการได้ว่ามีการใช้ประโยชน์จากต้นกัญชานี้กว่า 26,900 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งหลักฐานการขุดค้นพบปรากฏอยู่ในโซนทวีป “ยูเรเซีย” (กลุ่มประเทศทวีปยุโรปที่ต่อเนื่องกับทวีปเอเชีย)
หลักฐานสําคัญที่กล่าวถึงการนําเอาต้นกัญชามาใช้ในการบริโภคเป็นที่แรก ๆ นั้นปรากฏหลักฐานเกิดขึ้นที่ประเทศจีน โดยจากหลักฐานมีการค้นพบว่าประเทศจีนนั้นมีการปลูกกัญชามานานแล้วตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ เสินหนง (Chen Nen) หรือราว ๆ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยนํากัญชานั้นมาสกัดเป็นน้ำมันเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร รวมถึงมาสกัดเป็นยา เพื่อใช้ในการลดหรือบรรเทาอาการเจ็บปวด
แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานบ่งบอกว่าการนํากัญชามาสกัดเป็นน้ำมันบริโภคนั้นจะส่งผลให้มีความเคลิบเคลิ้มเพียงใด แต่หลักฐานอื่นที่สําคัญก็คือได้มีการขุดค้นพบศพผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีชีวิตเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล บริเวณพรมแดนของจีน ที่ติดกับประเทศไซบีเรียตอนใต้ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของแคว้น ถู่ฟาน หรือ ตูร์ฟาน ในการปกครองของจีนเดิมโดยศพหญิงผู้นี้ถูกพบพร้อมกับเมล็ดกัญชาจํานวนหนึ่ง โดยจากการวิเคราะห์พิสูจน์ทาง กระบวนการวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า หญิงรายนี้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม นักโบราณคดีจึงคาดกันว่าเธออาจใช้กัญชาในการบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งนั่นเอง
ขอขยายความสักนิดหนึ่งครับว่า ในช่วงเวลาก่อนคริสตกาล ประเทศในแถบอื่น ๆ ก็ได้มีการค้นพบการใช้กัญชาเช่นกันแต่เป็นในเชิงการใช้ทางจิตวิญญาณ พ่อมด หมอผี หรือการสัมผัสกับวิญญาณบรรพบุรุษ ผู้ล่วงลับซึ่งกัญชานี้ก็ใช้เป็นส่วนประกอบที่สําคัญในพิธี และถูกยกให้เป็น “พืชมหัศจรรย์” คิดกันในมุมง่าย ๆ ก็คือกัญชานั้นเมื่อเผาก็บังเกิดควันจํานวนมาก ผู้คนที่มาร่วมพิธีเมื่อสูดดมควันเหล่านั้นไปก็จะเกิดอาการเคลิบเคลิ้ม เห็นภาพหลอนต่าง ๆ ซึ่งอาจจะจินตนาการว่าเป็นการได้สัมผัสกับจิตวิญญาณในอีกมิติหนึ่งนั่นเอง
คราวนี้มนุษย์เราพี้กัญชากันเมื่อไร ชนชาติแรกที่บุกเบิกการพ์ “กัญชา” คือชาวไซเทียน (Scythians) ที่อาศัยอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปเอเชียและประเทศอิหร่านครับ พวกเขาเริ่มต้นจากการปลูกกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมาก่อน แต่หลังจากนั้นในช่วงประมาณ 480 ปีก่อนคริสตกาล ชาวไซเทียนเริ่มเห็นคุณสมบัติพิเศษทางด้านการให้ความสําราญของพืชชนิดนี้ และเริ่มนํามาใช้ “เสพ” เพื่อความบันเทิงเป็นซาติแรกของโลก กล่าวกันว่า ชาวไซเทียนไม่เคยอาบน้ำเลย พวกเขาใช้วิธีการอาบควันกัญชาแทนน้ำ โดยพวกเขาเผาหินให้ร้อน จากนั้นก็โยนใบและเม็ตของต้นกัญชาลงไปบนหินร้อนให้ ควันพวยพุ่งออกมา (อารมณ์เดียวกับการอบซาวน่า)
พวกเขาก็จะรู้สึกตัวสะอาดปนเคลิบเคลิ้มด้วยความสุข และหลังจากนั้นเป็นต้นมากัญชาก็ถูกใช้เพื่อความสําราญกันมากขึ้นและกระจายไปทั่วโลกในทุกอาณาจักร ไม่ว่าจะกรีก โรมัน หรือ อียิปต์ หรือ โซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม ข้ามผ่านกาลเวลา ทั้งจากยุคหิน สู่ยุคกลาง เข้ามาสู่ยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พบว่ามีการใช้กัญชากันอย่างกว้างขวางแพร่หลายในกลุ่มชาวอินเดีย อียิปต์ แอฟริกาเหนือและกลุ่มประเทศตะวันออก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งชาวมุสลิม พบว่ามีการเสพกัญชาเพื่อให้เกิด ความมึนเมากันมาก และมีการสังเกตุพบว่า ฤทธิ์ของ กัญชาที่นํามาใช้นั้นแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ ของการเสพ ส่วนในคาบสมุทรอินโดจีนนั้น พบว่า มีการปลูกกัญชากันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เช่นเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่แอฟริกา เอเชียตะวันออก เฉียงใต้ (ประเทศไทยเองก็คาดว่าได้รับวัฒนธรรมการเสพกัญชามาจากอินเดีย) ส่วนในทางอเมริกาตอนใต้นั้น มีการปลูกและเสพกัญชาไม่แพ้ใคร มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ใช้ กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
มีเรื่องหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของกัญชาที่เกิดขึ้นและเป็นเรื่องเล่าไม่รู้จบ นั่นก็คือช่วงปี 1972 สมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (RichardNixon) ของสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงเวลานั้นประธานาธิบดีนิกสันพยายามทําสงครามกับยาเสพติด และเห็นว่ามีประชากรชาวสหรัฐเองนั้นเสพกัญชากันเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มฮิปปี้ ประธานาธิบดี ทีมวิจัย ทําการศึกษาว่ากัญชาส่งผลต่อมะเร็งปอดในมนุษย์อย่างไร โดยหวังว่าถ้าผลลัพธ์ออกมาว่ากัญชามีผลเสียเหมือนกับบุหรี่ก็จะได้จัดการประชาสัมพันธ์และกวาดล้างให้เด็ดขาด แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้าม รายงานกลับสรุปว่ากัญชาสามารถเข้าโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ แถมยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย เมื่อประธานาธิบดีนิกสันเห็นผลรายงานที่ผิดคาดเข้าก็หัวเสียเลยตัดสินใจโยนรายงานนั้นทิ้งลงถังขยะไปซะ ก่อนที่จะปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับมาอย่างยาวนานหลายสิบปี
ปัจจุบันนั้นกัญชาได้ถูกนําเอามาใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาภาวะเบื่ออาหาร โดยกัญชาใช้เป็นสารกระตุ้นความอยากอาหาร จะช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง ใช้ป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่รับเคมีบําบัด รักษาโรคลมชักที่รักษายากและโรคลมชักที่ดื้อต่อยา รักษาภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง รวมไปถึงการสกัดเป็นน้ำมันกัญชารักษาผู้ป่วยที่มีอาการพาร์กินสัน รวมไปถึงผู้ป่วยที่นอนไม่หลับจากอาการของโรคซึมเศร้าอีกด้วย ทางประเทศไทยเองก็มีการแก้กฎหมายเปิดกว้างในเรื่องของกัญชากันอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของทางการแพทย์และงานวิจัย มีการอนุญาตให้กลุ่มประชาชน ตั้งตัวเป็นชุมนุมสหกรณ์ร่วมกับทางภาครัฐ โรงพยาบาลผ่านการอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ในการปลูกและเปิดให้ใช้กัญชาและสารสกัดจากกัญชา รักษาผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายต่าง ๆ มากขึ้นรวมไปถึงเปิดให้ผู้ป่วยลงทะเบียนในการขออนุญาตใช้กัญชา และสารสกัดจากกัญชาอย่างถูกกฎหมายอีกด้วย