ฮีโร่แห่งวงการลููกหนังไทย "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง"

ฮีโร่แห่งวงการลููกหนังไทย "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง"

   ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เปรียบเสมือนไอคอนท่านหนึ่งของวงการกีฬาเมืองไทย หลังจากสร้างชื่อเสียงในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติไทย ชีวิตของเขาบนถนนลูกหลังยังไม่จบได้รับโอกาสเป็นโค้ชในสโมสรต่าง ๆ รวมถึงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ทวงแชมป์ซีเกมส์ 2013 กลับคืนมาได้สําเร็จในรอบ 12 ปี และน้ําทัพไปคว้าอันดับ 4 ในศึกเอเชียนเกมส์ 2014 และยังพาทีมชาติไทยเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2018 แม้ไปไม่ถึงฝัน แต่เขาก็ถือว่าเป็นโค้ชคุณภาพท่านหนึ่ง

   ล่าสุดเขากลับเวียดนามไปเพื่อเป็นโค้ชให้กับสโมสร ฮองอันห์ ยาลาย สร้างผลงานพาลูกทีมขึ้นนําด้านบนของตาราง แต่โชคไม่เข้าข้างเนื่องจากเรื่องของโควิด -19 จึงมีการประกาศยุติการแข่งขันซึ่งทางวีเอฟเอฟได้ยืนยันแล้วว่าจะให้ผลการแข่งขันในฤดูกาล 2021 ทั้งหมดเป็นโมฆะ เป็นผลให้ซิโก้ต้องกลับบ้านมาพักผ่อนที่บ้านเพื่อรอดูอนาคตอีกครั้งวันนี้เราจึงนําบทความที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับทาง MiX Magazine แม้จะผ่านมาหลายปีแต่แนวคิดของเขายังเฉียบคมอยู่เสมอ

เส้นทางการเป็นกุนซือ

   “เดิมที่ผมเป็นนักเตะทีมชาติไทยในช่วงท้ายการค้าแข้งเป็นเล่นอยู่ที่เวียดนาม 2 ปีก่อนที่จะอําลาสนาม ผมก็จับพลัดจับผลูได้เป็นผู้ช่วยโค้ชและเฮดโค้ชที่สโมสร ฮอง อันห์ ยาลาย ของเวียดนาม หลังจากนั้นก็กลับมาอยู่ที่ประเทศไทย คิดว่าจะมาใช้เวลาดูแลครอบครัว ซึ่งตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องการเป็นโค้ชมากนัก แต่กลับมีโอกาสได้มาเป็นโค้ชให้กับจุฬาฯ ยูไนเต็ต, ชลบุรี เอฟซี,บางกอก เอฟซี ฯลฯ

   “พอมีประสบการณ์ในการเป็นโค้ชระดับสโมสร ประกอบกับขณะนั้นฟุตบอลซีเกมส์ของไทยเราไม่ได้แซมป์มา 2 สมัย หลังจากที่เราเคยได้มาตลอด 8 สมัย 16 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากตกรอบแรกมา 2 สมัย ที่ลาวและอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ พอมาซีเกมส์ที่พม่า 2013 จึงมีการมองหาว่าใครจะเข้ามาทําหน้าที่เป็นโค้ชให้ทีมชาติไทย ผมเลยได้รับโอกาสจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย

   “ณ ตอนนั้นที่ถูกทาบทามก็ยังสองจิตสองใจอยู่ เพราะว่าซีเกมส์มีเป้าหมายเดียวคือต้องได้แชมป์อย่างเดียวเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าไม่นรกก็สวรรค์ แต่ด้วยความรู้สึกของการเป็นแชมป์ซีเกมส์ในตอนที่ผมเคยเป็นผู้เล่นมันก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม จึงคิดว่าถ้ามาเป็นโค้ชก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน ซึ่งมันก็มีคําถามขึ้นมาอีกว่า แล้วถ้าไม่ได้แชมป์ล่ะจะว่าอย่างไร ใครต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าได้แชมป์ใครมีความสุขที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นคนไทย 60 กว่าล้านคน ดังนั้นต่อให้เป็นผมคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบก็ไม่เป็นไร น่าลองเสียง

   “ผมเติบโตมาจากฟุตบอล แล้วเรายึดอาชีพเกี่ยวกับฟุตบอลมา 20 ปี เป็นผู้เล่นด้วย เป็นโค้ชด้วย วันนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เหมือนกับอีกหลายอาชีพที่ต้องมีอุปสรรคกันบ้าง สิ่งสําคัญคือเราจะผ่านอุปสรรคตรงนี้ไปได้อย่างไร ยิ่งมีกระแสที่รุนแรง ความสําเร็จก็จะทําให้ฟุตบอลไทยกลับมามีสีสันอีกครั้งหนึ่ง

บอลไทยจะไปบอลโลก (?)

   ยิ่งการทําผลงานซีเกมส์ที่พม่าเป็นที่น่าพอใจมากเท่าไหร่ ความกดดันและความคาดหวังที่อยากจะเห็นบอลไทยไปบอลโลกก็ยิ่งหลั่งไหลและถาโถมเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งเขาก็อยากให้ความฝันของคนไทยเป็นจริงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ทว่ากุนซื้อมาดนิ่งคนนี้บอกเพียงว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลา

   “แฟนบอลถามผมตลอดว่าเมื่อไหร่บอลไทยจะไปบอลโลก ผมก็พยายามบอกกับทุกคนว่า ความจริงแล้วมันไปได้ แต่อยู่ที่ว่านักเตะชุดไหนจะได้ไปก่อน ถ้าเราสร้างนักเตะเยาวชนขึ้นมา แล้วไปในรุ่น 16 ปี หรือ 19 ปี ชิงแชมป์โลกให้ได้ก่อน ถึงตรงนั้นค่อยมาฝันว่าเราจะไปบอลโลกในซุตใหญ่ ทุกอย่างมันต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจน

   “ทุกวันนี้ที่เราเสพสื่อจะเห็นสื่อประโคมว่าเด็กไทยเก่ง เพราะมีการแข่งขันระดับเยาวชนที่ต่างประเทศซึ่งเป็นสึกเล็ก ๆ แล้วสามารถชนะกลับมาได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมเติบโตมากับทีมชาติตั้งแต่ระดับเยาวชน 16 ปี ผ่านการเล่นชิงแชมป์เอเชีย ผมรู้ว่าเด็กไทยเรายังไม่เก่งจริง เพราะถ้าเก่งจริงต้องไปเวิลด์คัพในระดับเยาวชน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของฟีฟ่าให้ได้ก่อน ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นโค้ชก็จะต้องพยายามวางแผนให้ทีมชาติไทยของเราแข็งแกร่งเหมือนที่วันนี้เรากําลังปลูกต้นไม้ ซึ่งต้นกล้าที่ดีก็จําเป็นต้องรอเวลาเพื่อจะให้ใต้น้ํา ปุ๋ย และสารอาหารที่ครบถ้วน รอเวลาที่จะแข็งแกร่งจึงไม่อยากให้ทุกคนไปเร่งต้นกล้าเหล่านั้นให้เติบโตไว ๆ”

นักเตะไทย ใจต้องรัก

   การจะเป็นนักฟุตบอลที่ดีนอกจากจะต้องมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม หมั่นเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจให้ดี เหนือสิ่งอื่นใดใจต้องรักด้วยเพราะหากวันใดอยากหันหลังกลับ มันก็เป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะต้องยอมรับว่าคนรอบข้างเหนือกว่าเราไปแล้วก้าวหนึ่ง

   “ฟุตบอลทุกวันนี้สู้กันที่ความแข็งแรง ใครแข็งแรงกว่าก็อยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าบาดเจ็บกลับมาผลประโยชน์ทั้งหมดเงินทองที่จะใต้ก็สูญเสียหมด ขณะเดียวกันจะให้กลับไปเรียนก็ไม่ทันเพื่อนแล้ว ผมจึงพยายามบอกเด็ก ๆ ว่า “ถ้าวันนี้เลือกมาเล่นฟุตบอล ต้องมาด้วยใจรักร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วต้องมาให้สุต

   “ผมจะให้ความสําคัญและซีเรียสกับการซ้อมมาก เพราะซ้อมอย่างไรแข่งอย่างนั้น ผมมักบอกกับน้อง ๆ เสมอว่า ใน 1 วัน ขอเวลาแค่ 2 ชั่วโมง เล่นให้จริงจัง เอาใจให้อยู่กับผมตรงนี้ ทีมชาติเป็นของพวกเราถ้าเรามีสมาธิอยู่กับเกมที่อยู่ตรงหน้า รับรองยังไงก็ชนะ ผมเชื่อในเรื่องเหตุและผลว่าถ้าเรามีเหตุดี ซึ่งก็คือการซ้อมที่ดีผลย่อมต้องออกมาตีตาม แต่ทุกวันนี้เราไม่สามารถเรียกนักเตะจากสโมสรต่าง ๆ มาเก็บตัวได้เพราะสโมสร เป็นผู้จ่ายเงินให้นักเตะเตือนละหลายแสน ดังนั้นการที่จะปล่อยให้ไปเล่นทีมชาติแล้วบาดเจ็บกลับมามันก็คงไม่คุ้ม ผมจึงอยากให้ทุกคนมองเห็นผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

   “หลายคนพยายามถามว่านักเตะที่เข้ามาเล่นทีมชาติมีเส้นสายบ้างไหม ผมบอกเลยว่าผมจะคัดเลือกนักเตะที่ดีที่สุดและเก่งที่สุดในประเทศเป็นหลัก โดยต้องไม่มีระบบเส้นสายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะระบบเส้นสายจะทําความเสียหายแก่ประเทศชาติ ดังนั้นคนที่จะมาเป็นทีมชาติได้จะต้องเป็นเบอร์ 1 เท่านั้น ซึ่งผมก็พยายามเปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าการเป็นเบอร์ 1 ของประเทศมันน่าภูมิใจแค่ไหน อย่างการเป็นคนขับรถตุ๊ก ๆ ธรรมดา กับการเป็นคนขับรถตุ๊ก ๆ เบอร์ 1 ของประเทศ ความภูมิใจมันก็แตกต่างกัน

   “แต่ทุกวันนี้พอมีรายได้จากสโมสรที่สูงขึ้น คําว่าเบอร์ 1 คําว่าทีมชาติมันก็หายไปหรือบางคนเล่นทีมชาติ มาจนชินชาแล้วไม่มีความทะเยอทะยานอยากที่จะเล่น ผมก็จะพยายามตัดออกไป แล้วคัดคนที่รักและต้องการ ที่จะเป็นตัวแทนของทีมชาติจริง ๆ เหมือนอย่างการเป็นทหาร ถ้าจะออกรบต้องออกรบด้วยความสมัครใจ มันเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องแสดงความรับผิดชอบออกมา

   “เมื่อเบอร์ 1 จากหลาย ๆ สโมสรมารวมกัน ผมก็พยายามยกตัวอย่างให้เขาเห็นว่าเรามีลูกโป่งหลายลูก ลูกโป่งลูกนี้อยู่เมืองทอง ฯ ลูกโป่งลูกนี้อยู่ชลบุรี ลูกโป่งลูกนี้อยู่บุรีรัมย์ ฯ ถ้าทําเป็นบอลลูนก็คือทีมชาติ ดังนั้นคุณต้องสลัดคราบของสโมสรออกไป แล้วการที่ได้มีธงไตรรงค์ติดหน้าอกไม่ใช่ใครก็เป็นได้ เวลาลงมาทําหน้าที่ให้ประเทศชาติให้ลองเอาใจของคน 60 ล้านคนลงไปด้วย ผมจะพูดให้เขาได้คิดเองว่าใครที่รอชื่นชม ความสําเร็จอยู่”

เต็มที่ในทุกบทบาn

   การได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในผู้เล่นของฟุตบอลทีมชาติไทยว่ายากแล้ว แต่การต้องเข้ามาสวมหัวโขนรับบทเป็นโค้ชผู้คอยอยู่เบื้องหลังการเล่นทุกแมทซ์ เพื่อให้ทุกคนในทีมเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือสิ่งที่ยากยิ่งกว่าสิ่งสําคัญคือต้องอาศัยทั้งความรู้ประสบการณ์ เพื่อนํามาผสมผสานสร้างเป็นสไตล์การเล่นที่ลงตัว

   “ผมเป็นคนชอบเขียนบันทึกการเดินทางครูพักลักจํา ชอบอ่านหนังสือ ช่วงที่เป็นผู้เล่นเวลาเดินทางไปอยู่ที่ไหนก็จะเขียนวิธีการซ้อมของโค้ชแต่ละคนไว้ไม่ว่าจะเป็นโค้ชเมืองไทยหรือโค้ชของต่างประเทศทั้งเซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน, เป็ป กวาร์ดิโอล่า, โซเซ่ มูรินโญ่ ตรงนี้ จึงเป็น Know - How หรือองค์ความรู้ที่เราได้มาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้มาเป็นโค้ช

   “ปรัชญาของผมคือรักในงานที่ทํา ต้องขยันและทุ่มเท ผมเป็นนักเตะพรแสวงไม่ใช่นักเตะพรสวรรค์ จึงใช้ความขยันและความมุมานะเข้าสู้ บอกได้เลยว่าผมยังไม่เคยเห็นใครสําเร็จโดยที่ไม่ขยัน ไม่มีนักเตะระดับโลกคนไหนที่ไม่ต้องซ้อม

   “สไตล์การเล่นของผมจริง ๆ แล้วผมเคยเป็นศูนย์หน้ามาก่อน แน่นอนว่าต้องชอบสไตล์บอลรุก แต่พอมาเป็นโค้ชฟุตบอลแล้วจะรุกอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องทําเกมรับด้วยวิธีการเล่นของผมจะยึดหลักว่า เกมรุกที่ดีมาจากเกมรับที่เหนียวแน่น ถ้าเรารับเหนียวแน่นแล้วเดี๋ยวโอกาสในการทําเกมรุกจะมาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรุกอย่างเดียวนะเพราะบางครั้งถ้ายื่อเอาไว้เพียงแค่เสี้ยวนาทีเราก็สามารถเอาชนะได้

   “ผมรู้สึกว่าฟุตบอลต้องวิ่งไม่มีหมดแรงตลอด 90 นาที นี่คือฟุตบอลในสไตล์ของผมที่อยากให้เป็น ซึ่งผมเรียกการเล่นแบบนั้นว่าสไตล์วิ่งสู้ฟัด วิ่งตลอดทั้งเกมเหมือนหมาบ้า ลงไปในสนามเหมือนเสือที่คอยจะไล่ตะปบเหยื่อ หากนําหลักการนี้มาใช้นอกจากคนดูจะมันแล้ว ถ้าชนะก็ชนะขาด แต่ถ้าแพ้ก็แพ้ไม่ขาดเพราะเราวิ่งทุกคน แพ้ไม่เกิน 1 - 0 แต่ถ้าชนะเจอทีมง่าย ๆ ก็ยิงได้ไม่ต่ํากว่า 3 - 4 ลูก เรียกได้ว่าบอลที่มันสนุก ถึงแพ้ก็ยังได้ใจผู้ชม

   “ถ้าในขณะที่เกมแข่งขันอยู่ ผมจะมีหน้าที่แค่ให้กําลังใจแล้วก็คอยดูภาพรวมเฉย ๆ จะกอดอกยืนดูให้เขาเล่นโดยอัตโนมัติ เพราะต่อให้ตะโกนอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ยิน ดังนั้นผมจึงต้องเตรียมความพร้อมตอนซ้อมให้ดี วางกลยุทธ์ที่จะเจอกับคู่ต่อสู้ ว่าเขาจะเล่นแผนไหนสูตรไหน เราจะมีวิธีการรับมืออย่างไร เตรียมไว้ 3 - 4 สูตร ผู้เล่นเหลือ 10 คน เล่นอย่างไร โดนใบแตง 2 คนเล่นอย่างไร ถ้าคนนี้เจ็บใครจะลงแทน จะต้องวางแผนไว้อุดรูรั่วที่อาจเกิดขึ้น”

ผู้นําของครอบครัว

   ชีวิตที่ต้องคลุกคลีอยู่กับลูกฟุตบอลคงเป็นภาพจําที่ติดตัวเขามาตลอด น้อยคนนักจะได้สัมผัสกับชีวิตครอบครัวและแง่คิดอีกมุมหนึ่งในฐานะคุณพ่อของลูกสาวทั้ง 3 คน ซึ่งเขาก็ทุ่มเทและให้ความสําคัญไม่แพ้กัน

   “ผมเป็นคนสมถะ ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบความวุ่นวาย ช่วงพักก็ชอบไปทะเล ภูเขา หรือถ้าวันหยุดก็จะอ่านหนังสือธรรมะ อ่านหนังสือการใช้ชีวิต จิตวิทยา เล่นกีตาร์ พาลูก ๆ ไปเรียนเปียโน อูคูเลเล่ ไวโอลิน เรียนวาดรูป ตอนนี้ก็มีกิจกรรมที่ทําร่วมกันคือขี่จักรยานทั้งครอบครัว เหมือนเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้เขา ถ้าครอบครัวอบอุ่น มันก็จะเป็นผลดีกับสังคม ฉะนั้นผมจึงให้ความสําคัญกับครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง

   “นอกจากนี้ก็จะให้เขาได้ไปดูเวลาเราคุมทีมสโมสรทีมชาติ ให้เขารู้จักคําว่าน้ําใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ ร้อภัย ให้รู้เรื่องการช่วยเหลือสังคม อย่างวันหยุดที่สําคัญเช่นวันเด็ก ซึ่งปกติเขาจะเป็นผู้รับอย่างเดียว แต่ผมก็จะพาไปแจกขนมเด็ก ให้เขารู้จักการเป็น ผู้ให้ให้เขาได้ซึมซับ

   “ส่วนที่ถามว่าอยากมีลูกชายไหม เพราะผมมีลูกสาว 3 คน ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คาดหวัง แค่อยากให้เขาเกิดมาครบ 32 เป็นคนดีของสังคม หรือทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติก็พอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือผู้ชายก็คงไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของเราเสียมากกว่า แต่พอได้ลูกสาวบุป ก็ไม่มีความอยากได้ลูกชายอีกเลย เพราะแค่เขามาอ้อนเราก็หายเหนื่อยแล้ว (ยิ้ม) อีกอย่างถ้าได้ลูกชาย คนก็อาจจะคิดว่าลูกต้องเป็นนักบอล ต้องติดทีมชาติ ต้องเล่นเก่งกว่าพ่อ นั้นก็จะกลายเป็นความทุกข์ของลูกอีก

   “วันนี้ความสุขของผมคือ การมีครอบครัวที่อบอุ่น และยังได้อยู่กับฟุตบอล เราสามารถเลือกเอาฟุตบอลมาเป็นอาชีพที่ทําให้คนอื่นเห็นว่าไม่ใช่ความฝัน ลม ๆ แล้ง ๆ วันนี้ที่ยังอยู่ในเส้นทางฟุตบอลก็ไม่ได้ รู้สึกเสียใจเลยที่เลือกทางนี้ ถึงแม้จะมีอาชีพอื่น ๆ ที่ดีรองรับเราอยู่ ยังไงก็ต้องขอบคุณฟุตบอลทําให้ผมมีวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ลูกบอลมันไม่มีชีวิต แต่มันสามารถสร้างชีวิตให้เราได้”

 

 

ฮีโร่แห่งวงการลููกหนังไทย "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง"