5 โรค...ที่เปลี่ยนแปลงโลก

5 โรค...ที่เปลี่ยนแปลงโลก

ขึ้นชื่อว่า "โรค" ก็คงไม่มีมนุษย์คนไหนอยากเป็น ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่โรค Covid-19 ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องและดูว่าจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ตอนนี้ต้องบอกว่าอย่าเอาตัวเองไปในสถานที่เสี่ยง ป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ใส่แมส หมั่นล้างมือให้เกิดเป็นความเคยชิน เพราะเราต้องอยู่แบบนี้ไปอีกสักพักแน่ ๆ โรคนี้มันเปลี่ยนชีวิตของคนทั้งโลกไปแล้วครับ แต่เรายกตัวอย่างโรคในอดีตที่สมัยนี้บางโรคเรามองว่าเป็นโรคธรรมดา ๆ ด้วยซ้ำไป แต่ในอดีตโรคเหล่านี้คือโรคที่เปลี่ยนโลก เปลี่ยนประวัติศาสตร์ เปลี่ยนแปลงโลกให้(ดีขึ้น หรือแย่ลง?) จนมาเป็นโลกของเราในปัจจุบัน

1. OCD (Obsessive-Compulsive Disorder) - ช่วยสร้างศาสนา

โรคอะไรหว่า OCD แต่ถ้าบอกว่า "โรคย้ำคิดย้ำทำ" พอจะคุ้น ๆ บ้างไหมครับ?

อาการย้ำคิด (obsession) เป็นความคิด ความรู้สึก หรือจินตนาการ ที่มักผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้ป่วย เองก็ทราบว่าเป็นความคิดที่เหลวไหล ไม่เข้าใจว่าเกิดความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร รู้สึกรำคาญต่อความคิดนี้ เช่น มีความคิดจะจุดไฟเผาบ้าน คิดว่ามือสกปรก คิดด่าทอพระพุทธรูปที่ตนเคารพ ผู้ป่วยรู้สึกผิดต่อความคิดที่เกิดขึ้น มีความกังวลใจ พยายามที่จะไม่ใส่ใจ หรือเลิกคิด บางครั้งอาจแก้หรือหักลัางความคิดนี้ด้วยความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ เช่น ถ้าคิดว่าไม่ได้ปิดแก๊ส ก็จะตรวจเช็คเตาแก๊สวันละหลาย ๆ ครั้ง ไปล้างมือเมื่อคิดว่าสกปรก หรือท่องนะโมในใจทุกครั้งที่คิดในทางไม่ดีต่อพระพุทธรูป

อาการย้ำทำ (compulsion) เป็นพฤติกรรมซ้ำๆ ที่ผู้ป่วยก่อกระทำขึ้น โดยเกี่ยวเนื่องกับความย้ำคิด หรือตามกฎเกณฑ์บางอย่างที่ตนกำหนดไว้ การที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมนี้เพื่อหักล้างความคิดย้ำในทางลบ หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ตามที่ตนหวั่นเกรง อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้ป่วยนั้นมักจะเกิดจากความคิดเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์หรือแบบเด็ก ๆ ซึ่งจะต่างไปจากแนวทางที่คนทั่วไปใช้ในการแก้ไขหรือป้องกันปัญหา

โดยพฤติกรรมยำคิดย้ำทำที่พบบ่อยได้แก่ กลัวติดเชื้อโรค กลัวสกปรก ต้องล้างมือ ล้างเช็ดสิ่งต่าง ๆ บ่อย ๆ, กลัวเกิดอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น เช่นกลัวลืมลงกลอน ลืมปิดไฟ กลัวไม่ได้เก็บของมีคม กลัวปิดก๊อกน้ำไม่สนิท ต้องตรวจดู,ต้องจัดให้สิ่งต่าง ๆ วางอยู่เท่า ๆ กัน จัดของให้อยู่เป็นระเบียบ อยู่ในที่ๆ เคยอยู่ เช่น วางแจกันให้ห่างจากขอบ 2 ข้างเท่า ๆ กัน, คิดนับหรือทำซ้ำ ๆ เกี่ยวกับตัวเลข เช่น ดูป้ายทะเบียนรถจะต้องเอามารวมกัน ลุกขึ้นต้องตบเก้าอี้ 3 ที, คิดซ้ำๆ หรือมีภาพขึ้นมาในจินตนาการซ้ำ ๆ ในเรื่องที่ตนเองเห็นว่าน่ารังเกียจหรือเป็นเรื่องผิด ซึ่งมักเป็นเรื่องทางเพศ ความก้าวร้าว หรือเกี่ยวกับศาสนา เช่น ทุกครั้งที่เห็นอะไรสีเหลืองจะเกิดความคิดต่อว่าพระพุทธเจ้า คิดย้ำๆ ด่าว่าบุพการีที่ตนเองเคารพ, ทิ้งของไม่ได้  เสียดาย ทิ้งของไม่ได้แม้จะเป็นของที่คนอื่นเห็นว่าไม่สำคัญ เช่น ขวด ถุง หนังสือพิมพ์ สมุดเก่า ๆ ยางรัด จะอึดอัดใจทุกครั้งที่จะต้องทิ้งอะไร เลือกไปมาเป็นเวลานาน แต่ในที่สุดก็ทิ้งอะไรไม่ได้ จนของรกเต็มบ้าน

แต่คุณเชื่อหรอไม่ว่าโรคย้ำคิดย้ำนี้ช่วยในการพัฒนาวิวัฒนาการศาสนาให้คงอยู่ปัจจุปัน เพราะบุคคลที่เป็นโรคนี้มีตำแหน่งเป็นผู้นำทางศาสนาที่มีความคิดแก้ไขตัวบทศาสนาอยู่บ่อย ๆ เพราะพวกเขากลัวมันไม่เหมาะสม เช่น

มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther) เป็นหนึ่งในผู้ปฏิรูปศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก โดยแยกมาเป็นนิกายโปรเตสแตนท์ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำสอนของโรมันคาทอลิกบางข้อ โดยนิยายนี้ตัดประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนศีลศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องออกไปเหลือแต่ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท และสนับสนุนให้บุคคลเอาใจใส่ต่อพระคัมภีร์ การปฏิรูปนี้เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา นอกจากนี้เขายังเขียนหลักคำสอนที่ไม่ใช้ภาษาละตินเพราะกลัวชาวบ้านอ่านไม่ออก 

นักบุญอิกเนเชียสแห่งลาโฮลา (St Ignatius of Loyola) นักบุญทางคริสต์ศาสนาในนิกายโรมันคาทอลิกในประเทศสเปน ผู้ก่อตั้ง “สมาคมพระเยซู” หรือเรียกในภาษาไทยว่า “ลัทธิเยซูอิด” ซึ่งเป็นลัทธิของนิกายโรมันคาทอลิกซึ่งขึ้นโดยตรงต่อพระสันตะปาปา พระในนิกายนี้เรียกว่า “เยซูอิด”สมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์โดยการเป็นผู้นำในขบวนการปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก (Counter-Reformation)

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทกล่าวว่าโรคย้ำคิดย้ำทำนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างศาสนาของโลกเป็นอย่างมาก เราได้เห็นศาสดาและสาวกหลายคนในศาสนาต่าง ๆ ที่พิธีอย่างเคร่งครัด เช่น การทำอาหาร และการล้างมือล้างเท้าต้องสะอาดอย่างหมดจด จนกลายเป็นประเพณีที่ต้องบังคับปฏิบัติในที่สุด (เช่นศาสนาฮินดู, อิสลาม, คริสต์)

2Epilepsy - (ปลดปล่อยฝรั่งเศส)

Epilepsy หรือ โรคลมชัก เป็นกลุ่มอาการอันเนื่องจากการที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด ทำงานมากเกินปกติไปจากเดิมชั่วขณะ  อาการแสดงจะเป็นอะไรนั้น  ขึ้นกับว่าเป็นส่วนใดของสมองที่ทำงานมากเกินปกติ ผู้ป่วยโรคลมชักอาจมีอาการแตกต่างกันหลายชนิด  บางชนิดก็เกิดในระยะเวลาอันสั้น  โดยผู้ป่วยจะมีอาการแค่เหม่อลอย  ไม่รู้ตัว,  อาจมีอาการเคี้ยวปากหรือขยับมือไปมา,  ประสาทหลอน, พูดอะไรไปโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว และบางชนิดอาจมีอาการรุนแรง  โดยผู้ป่วยจะมีอาการเกร็งกระตุกทั่วทั้งตัว  ไม่รู้ตัว และมีอุจจาระ - ปัสสาวะราด  ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปว่า "ลมบ้าหมู" นั่นเอง

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าโรคลมชัดสามารถทำให้ฝรั่งเศสปลดปล่อยจากอังกฤษได้??

เรื่องของเรื่องคือ บุคคลดังที่เปลี่ยนโลกที่เป็นโรคนี้คือ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc)  ที่ฤดูร้อนปี 1452 เธอได้ยิน "เสียงเทวทูตสวรรค์" เธออ้างว่าเป็นของเซนต์กาเบรียล เซนต์ไมเคิล เซนต์มาเกอริต และเซนต์แคเธอรีน นักบุญทั้งสี่ขอให้เธอขับไล่ข้าศึกไปจากฝรั่งเศส เธอนำเรื่องนี้"เสียง" ทูลต่อหน้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส? 7 ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเมื่ออังกฤษบุกรุกฝรั่งเศสและยึดออร์ลีนส์ ไว้ได้ เมื่อเขาได้ฟังเรื่องของโจน เขาก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ส่งเธอมาจริง และแต่งตั้งเธอเป็นแม่ทัพ จนสามารถปลดปล่อยออร์ลีนส์เป็นอิสระในอีก 7 เดือนให้หลัง

เรื่องราวของโจนนั้นนักวิชาการในปัจจุบันพยายามอธิบายว่าเสียงที่เธอได้ยิน นั้นเป็นอาการทางจิตหรือทางประสาทนั้นคือเป็นโรคลมชัก (epilepsy) , ไมเกรน (migraine) , วัณโรค และโรคจิตเภท เห็นได้ว่าวัยเด็กนั้นเธอเกิดอาการผีเข้าผีออกจนต้องใช้ความศรัทธาของศาสนา มาช่วยบำรุงจิตใจ  นอกจากนี้ตัวเจ้าฟ้าชายชาร์ลสก็เป็นโรคลมชักประสาทหลอนด้วย เพราะจากประวัติเพราะพระราชบิดาของของชาร์ลส์คือชาร์ลส์ที่ 6 ที่รู้จักกันในพระนามว่า “ชาร์ลส์ผู้บ้าคลั่ง” ที่มีพระอาการเสียพระสติเป็นพักๆ ที่ไม่ทรงสามารถพระราชภาระกิจตามปกติได้ พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เองทำด้วยแก้ว ทำให้เชื่อกันว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 อาจจะเจริญพระชันษาขึ้นมาแล้วมีอาการเหมือนพระราชบิดา

3. ADHD - (จดจ่อจนได้ดี)

โรคสมาธิสั้น (ADHD) ย่อมาจากคำว่า Attention Deficit Hyperactivity Disorder  เป็นโรคที่พบได้ บ่อยในวัยเด็ก โดยที่เด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเองได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ มีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น ถึงแม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ยังพบว่าหนึ่งในสามของเด็กยังคงมีอาการอยู่บ้างหรือ บางคนเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอาจมีอาการเต็มรูปแบบอีกด้วย ซึ่งยังเพิ่มโอกาสการเกิดพยาธิ สภาพทางจิต ส่วนสาเหตุที่มาของโรคนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเป็นทางพันธุกรรม, สมอง, ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ฯลฯ

ในขณะที่ผู้ปกครองจำนวนมากพยายามหาวิธีการรักษาโรคนี้ แต่โรคสมาธิสั้นสามารถสร้างอัจฉริยะได้ มีการทดสอบแล้วจากผู้เชี่ยวชาญว่า ผู้มีเป็นโรคสมาธิสั้นนั้น จะเป็นคนเก่ง ไหวพริบและไอคิวดีมาก นี้ไม่ใช่โรคปัญหาอ่อน หากแต่เป็นโรคที่ทำให้คนมีสมาธิมากอยู่ในภวังค์เรื่องที่ชอบ และไม่สนใจในสิ่งที่ตนไม่ชอบ เด็กสมาธิสั้นไม่มีปัญหาการเรียนมีมากกว่าครึ่งสามารถเข้ามหาวิทยาลัย ได้เกียรตินิยมจบปริญญาโท เอกจบแพทย์หลายสาขา เป็นวิศวกรนักวิชาการ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และอีกหลายแขนงวิชาชีพที่ชอบ ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกไม่สนใจ เอาแต่เหม่อลอยแท้ๆ 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโรคสมาธิสั้นนั้นส่งผลทำให้บุคคลที่เป็นโรคนี้มีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะงานศิลปะ วิทยาศาสตร์และการสำรวจ ให้เก่งเฉพาะด้านนั้นๆ เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจรอบข้าง(ไม่เข้าสังคม, ไม่ออกไปเล่น เอาแต่จดจ่อแต่สิ่งที่ชอบ) ส่วนคนที่ไม่เป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงในการทำลายตนเอง ในทางลบ เช่นยาเสพย์ติด ผู้หญิง นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคสมาธิสั้นมียีนที่อาจเกี่ยวพันกับพฤติกรรมกล้าเสี่ยง  และความมุ่งมั่นในงานอาจทำให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ โดยบุคคลดังระดับโลกที่เป็นโรคนี้ เช่น

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย ได้ฉายา "พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก" ที่โดนเด็กครูประจำชั้นบอกเขาว่า “โง่” จนแม่เขาต้องสอนเขาเอง และทั้งชีวิตไม่เคยจบจากการศึกษาที่ไหน, วอลเตอร์ ราเลย์ (Sir Walter Raleigh) ที่ฟังเรื่องราวชีวิตทะเลที่เล่าโดยกลาสีผู้มีประสบการณ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจและตื่นตาตื่นใจ จนกระทั้งกลายเป็นนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษ, ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso) จิตรกรเอกของโลก เป็นบุคคลที่นิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งบุคคลทั้งหมดนี้เชื่อว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ทั้งหมดนี้สามารถทำให้โลกเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้

4. Autistic Disorder - (สร้างอัจฉริยะ)

ตั้งแต่โลกมีการค้นพบออทิสติกเมื่อปี ค.ศ. 1943 โรคนี้ก็กลายเป็นโรคสยดสยองที่พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายไม่อยากให้ลูกเป็น ในทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า ภาวะออทิสซึม (Autism) เป็นโรคหรือกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นในเด็ก เนื่องจากสมองผิดปกติ ทำให้เด็กแสดงความบกพร่อง เช่น ไม่แสดงสีหน้าท่าทางในการตอบรับและสื่อสารกับผู้อื่น ไม่สบตา เรียกไม่หัน ความบกพร่องในการสื่อสาร พูดช้าหรือไม่พูดและไม่มีความพยายามในการสื่อสาร พูดตามหรือพูด สลับคำหมกหมุนอยู่กับการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่เหมาะสมหรือทำซ้ำ ๆ มากเกินไป ยึดติดกับขั้นตอนในการทำกิจวัตรประจำวัน

แต่ถ้าหากโลกนี้ไม่มีโรคออทิสติกละก็ โลกคงเข้าสู่ยุคหินไปนานแล้ว สาเหตุเนื่องจากบุคคลอัจฉริยะสองคนนั้นมีอาการ “ออทิสติก” นั่นก็คือ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" (Alber Einstein) " และ "ไอแซค นิวตัน" (Isaac Newton)" ที่มีปัญหาความบกพร่องทางสังคม หรือมีอาการของออทิสติกร่วมด้วย และความผิดปกตินี้เองที่เป็นสิ่งผลักดันให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะ เพราะอาการออทิสติกนี้เป็นประเภทที่เรียกว่า "แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม" (Asperger's syndrome) ซึ่งเป็นความบกพร่องทางสังคม ไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลทั่วไป แต่มักมีความจำดี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และชอบทำซ้ำๆ แต่จะไม่มีความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารดังที่ปรากฏในชีวประวัติของสองบุคคลนี้ว่า เป็นที่รู้กันดีว่านิวตันชอบทำงานติดต่อกันหลายวันชนิดลืมวันลืมคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน หรือหยุดพักผ่อนบ้างเลย ส่วนไอน์สไตน์ก็ต้องไปทำงานอยู่ในสำนักงานทะเบียนสิทธิบัตร เพราะดื้อรั้นและไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเหล่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย" 

นอกเหนือจาก 2 บุคคลนี้ก็ยังมี ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) นายพลผู้แกร่งกล้าและอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2, จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ "รัฐสัตว์" (Animal Farm), บีโธเฟน (Beethoven) ชาวเยอรมนี และโมสาร์ท (Mozart) ชาวออสเตรีย 2 นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งยุคคลาสสิก, ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักแต่งนิทานชื่อก้องโลกชาวเดนมาร์กเจ้าของผลงาน "เดอะลิตเติล เมอร์เมด" (The Little Mermaid) และอิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน ที่ทุกคนล้วนมีอาการออทิสติกที่ปรากฏในชีวประวัติทั้งสิ้น

5. Incest - (สาเหตุแห่งหายนะ)

การร่วมประเวณีกับญาติสนิท หรือ การสมสู่ร่วมสายโลหิต หมายถึง การมีความสัมพันธ์ทางเพศในทุกรูปแบบกับผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งอาจหมายถึงคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง ซึ่งถือว่าเป็นการผิดกฎหมายและจารีตทางสังคม ในบางสังคม การล่วงละเมิดหมายอาจมีแค่ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะสถานเดียวกัน หรือผู้ที่เป็นสมาชิกของเผ่าหรือมีผู้สืบสันดานเดียวกัน ในบางสังคมมีความหมายรวมไปถึงคนที่สัมพันธ์กันทางสายเลือด และในสังคมอื่น ๆ รวมไปถึงบุตรบุญธรรมหรือการแต่งงาน

การร่วมประเวณีระหว่างสายเลือดนั้นในประวัติศาสตร์พบว่าช้านานแล้ว โดยเฉพาะพวกคนชั้นสูง กษัตริย์และตระกูลขุนนางชั้นสูงนิยมการแต่งงานกันเองระหว่างเครือญาติเพื่อปกป้องสายเลือดอันบริสุทธิ์ อีกทั้งยังรักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลเหล่านี้หลายคนมีอาการบกพร่องทั้งทางหน้าตา ที่มีลักษณะเฉพาะ ทั้งทางจิตจากลักษณะทางพันธุกรรม หรือเรียกว่า โรคประสาท, โรคทางอารมณ์ที่รุนแรง, โรคเลือด, พิกลพิการ, เซ็กซ่วล, โรคลมชัก, โรคทางสมอง เช่น บุคคลดังๆ ที่เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดจากการร่วมประเพณีสายเลือดเดียวกัน

อลิซาเบธ บาโธรี่(Elizabeth Báthory) หญิงสาวที่ฆ่าคนถึง 650 คนโดยใช้อำนาจขุนนางมาใช้, พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 (Tsar Nicholas II) ที่ลูกป่วยเป็นป่วยเป็นโรคฮีโมฟีเลีย ได้รับการรักษาโดยรัสปูติน จนส่งผลให้รัสปูตินก้าวมามีอำนาจในพระราชสำนัก, สมเด็จพระราชินีฮวนน่า(Juana I de Castilla) ฮวนน่าผู้บ้าคลั่ง, อีวานที่ 4 (Ivan IV) ซาร์แห่งรัสเซีย ที่ปกครองรัสเซียอย่างโหดร้าย นอกจากนี้ยังมีโรคประหลาดหนึ่งที่มาจากการร่วมประเวณีระหว่างสายเลือดเดียวกัน คือ โรคโพรพีเรีย (Porphyria) หรือโรคผีดูดเลือดที่โรคพันธุกรรมหายากมาก ซึ่งเกิดจากการจาดเอนไซม์ในตับหรือเม็ดเลือดแดง ทำให้ต้องรักษาโดยการดื่มเลือด(สมัยก่อน) ตัวบุคคลที่เป็นโรคนี้ก็มี วลาด ดราคูล่า(Vlad the Impaler) จอมเสียบโรมาเนีย, สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 แห่งสกอตแลนด์(Mary Queen of Scots), พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์(Nebuchadnezzar) และ พระเจ้าจอร์ชที่ 3(King George III) โดยมีหลักฐานคือพบสารหนูอยู่มากในพระเกศาที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์กรุงลอนดอน

โรคภัยไข้เจ็บในอดีตที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกจนมาถึงปัจจุบัน