เจาะใจผู้กำกับ "ปีเตอร์ ชาน" ถึง "LEAP ตบให้สนั่น" ภาพยนตร์เปิดตัวอันดับ 1 BOX-OFFICE ที่ประเทศจีน

เจาะใจผู้กำกับ "ปีเตอร์ ชาน" ถึง "LEAP ตบให้สนั่น" ภาพยนตร์เปิดตัวอันดับ 1 BOX-OFFICE ที่ประเทศจีน

ถาม ความรู้สึกที่คิดว่าใหญ่มากตอนถ่ายทำหนังเรื่อง ตบให้สนั่น Leap คืออะไร? ประสบการณ์สุดประทับใจมากที่สุด?

ปีเตอร์ ชาน : เรื่องราวทั้งหมดของทีมวอลเลย์บอลหญิงจีนเป็นเรื่องใหญ่มาก ดังนั้นเราจึงค่อย ๆ เริ่มต้นด้วยเรื่องราวความเป็นมาของทีมวอลเลย์บอล เริ่มจากมุมเล็ก ๆ ขยายไปใหญ่ จนเห็นความเป็นมาของทีมนักวอลเลย์บอลหญิง ส่วนรูปภาพของพวกเขานั้นถูกถ่ายในตอนต้นของยุค 80 ที่ผ่านมาผมพยายามถ่ายทำละครข้ามยุคซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในครั้งนี้น่าจะเป็นการกำกับการแสดงครั้งเดียวที่ครอบคลุมที่สุดในไม่กี่ปีมานี้

ถาม : ผู้กำกับปีเตอร์ ชาน , กงลี่เป็นตัวเลือกนักแสดงที่ดีที่สุดของคุณใช่ไหม?  จนถึงปัจจุบันนี้เคยมีการเกี่ยวข้องใด ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องงานไหม? ในความคิดก่อนหน้านี้ โอกาสไหนที่คุณควรจะร่วมงานกับเธอสักครั้ง?

ปีเตอร์ ชาน : ผมเคยคิดอยากร่วมงานกับกงลี่มาหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยคุยกันหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ร่วมงานกันจริง ๆ สักที ครั้งนี้ถือว่าโชคดีมาก กงลี่คือคนที่เหมาะที่สุดที่จะมารับเป็นหลางผิง ผมยังพูดกับเขาเสมอว่า ตราบใดที่ยืนอยู่ที่นั่น เธอจะมีแรงผลักดันที่แข็งแกร่ง เมื่อได้เห็นแววตาของเธอขณะนั้น พูดได้ว่าเหมือนกับแววตาของหลางผิงไม่มีผิด สถานะของทั้งสอง กงลี่ในแวดวงภาพยนตร์ยังเปรียบเทียบได้กับหลานผิงในแวดวงการกีฬา นอกจากนี้พวกเขายังเริ่มทำงานในช่วงยุค 80 และยังเป็นคนแรกที่เดินทางไปต่างประเทศ เรียนรู้ความเป็นระดับมาตรฐานสากล มีอิทธิพลอย่างมากในเวลาต่อมา ทำให้ผมคิดว่านอกจากเธอแล้ว ก็ยังคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเป็นใครไปได้ที่จะมารับบทนี้

ถาม : กงลี่แสดงในบทบาทของหลางผิงได้อย่างดี เป็นที่ยอมรับจากผู้ชม แต่ทว่าเธอสูงแค่ 170 ซม. ขณะที่หลางผิงสูงถึง 184 ซมฉันเคยเห็นภาพมาก่อน สัดส่วนของทั้งสองคนแทบจะค่อนข้างต่างกัน จึงอยากรู้ว่าผู้กำกับใช้วิธีไหนแสดงออกถึงความดุดันของกงลี่และจัดการอย่างไรกับสัดส่วนทางร่างกายที่ต่างกันแบบนี้?

ปีเตอร์ ชาน : เป็นไปได้ยากมากที่จะหาคนที่มีความสูงขนาดพอดีแบบหลางผิง แต่กงลี่ก็ยังถือว่าเป็นคนที่ดูมีรูปร่างสูงอยู่ ตอนแรกผมคิดว่าจะใช้การจัดตำแหน่งกล้องหรือหาเทคพิเศษมาช่วยทำให้กงลี่ดูมีความสูงในระดับที่เหมาะสม แต่เมื่อเราได้เข้าไปถ่ายทำจริง ๆ ค่อนข้างกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่กงลี่จะต้องแสดงพร้อมกับทีมนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ซึ่งพวกเขาสูงมากจริงๆแต่ละคนมีความสูงประมาณ 190 ซม. ไปจนถึงเกือบ 200 ซม. ทำให้ในระหว่างการถ่ายทำ พวกเราจึงได้วางแผนกัน ทั้งหาวิธีที่จะทำให้กงลี่สูงขึ้นมาหน่อย หรือไม่ก็อาจจะใช้มุมกล้อง ตอนระหว่างการถ่ายทำยังรู้สึกได้ถึงพลังของกงลี่ที่สามารถจัดการทีมนักวอลเลย์วอลหญิงได้ และตอนนี้เธอก็ถ่ายทำบทโค้ชหลางผิงมาได้สักพักแล้ว ทันทีทีมนักวอลเลย์บอลหญิงเข้าฉากการแสดง กงลี่ก็ได้กลายเป็นโค้ชหลางผิงของพวกเขาไปทันที กงลี่ยังสามารถนำพวกเขาในการแสดงได้ ดังนั้นคนดูจะไม่คิดว่าความสูงของเธอจะน้อยเกินไป นอกจากนี้รัศมีของทีมนักวอลเลย์วอลหญิงยังไม่มีผลกระทบต่อการแสดงที่ทรงพลังของกงลี่อีกด้วย

ถาม : หลังจากที่ดูหนังจบแล้ว คนดูหลายคนชื่นชมมากตอนที่ ทีมนักวอลเลย์บอลหญิงอยู่ในร้านซาลอน แล้วโค้ชหลางผิงพูดขึ้นมาว่า รีบมีความรักซะ คุณพิจารณาจากอะไรในการสร้างพล็อตนี้

ปีเตอร์ ชาน : ก่อนที่จะไปวอลเลย์บอลหญิงเวิลด์คัพที่ญี่ปุ่น พวกเขาไปที่ร้านซาลอนเพื่อดัดผม ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายในที่พวกเราดูในปีนั้น ในปีนั้นเองก่อนการแข่งขันทรงผมจริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนี้ แต่ก่อนที่จะเวิลด์คัพที่ญี่ปุ่น แต่ละคนก็ไปดัดผม ทำให้เมื่อไปเวิลด์แต่ละคนก็มีทรงผมที่คล้าย ๆ กัน สำหรับผมคิดว่าอาจจะเพื่อทำให้ทีมต่างชาติอื่น ๆ ไม่สามารถจำพวกเขาได้ ทำให้ทีมอื่นสงสัยว่าคนนี้คือใคร เนื่องจากลักษณะภายนอกของแต่ละคนในทีมต่างก็ดูเหมือนกันไปหมด ผมแค่สมมติฐานจากความเป็นไปได้นะ ว่ากันว่าในตอนนั้นจริง ๆ แล้วเสื้อของหลางผิงก็ยังสลับเปลี่ยนจากเบอร์ 1 เป็น เบอร์ 3 แทน

ถาม : ดูเหมือนว่ามีหลายคนกล่าวว่าคุณคือนักเล่า เรื่องราวของกาลเวลา สมมติว่าต้องถ่ายทำเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง คุณจะเลือกตอนไหนและมีความเกี่ยวข้องกับกาลเวลาไหมนอกจากนี้ ยังมีคำเล็ก ๆ อยากลองถามคุณดูว่า คุณเดินทางออกจากฮ่องกงในช่วงปลายยุค 90 จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ฮ่องกงเปลี่ยนผ่านยุคต่าง ๆ รู้สึกได้ถึง ความรู้สึกของช่วงเวลา คุณจะลองพิจารณากลับไปถ่ายทำที่ฮ่องกงหรือไม่?

ปีเตอร์ ชาน : ผมเคยสร้างละครย้อนยุคมาหลายครั้งแล้ว แต่นอกจาก เทียนมี้มี แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ผมเคยพบเจอด้วยตัวเอง เทียนมี้มี เป็นยุคของผม ตอนที่กลับฮ่องกงในปี 1983 ในปี 95 , 96 ของการถ่ายทำ เทียนมีมี้ เป็นช่วงที่ผมยังเป็นวัยรุ่น ผมถ่ายทำในยุคนั้น คือการแสดงออกส่วนตัวในยุคของผม ส่วนเรื่อง สามตี๋ซ่าท้ามะกัน (American Dreams in China) ผมนำประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมาถ่ายทำเรื่องนี้ ทั้งนี้ผมเคยไปอเมริกา การกลับมาฮ่องกง ความรู้สึกตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ผมแค่รู้สึกว่ามีหลายสิ่งที่เราสามารถนำมาแบ่งปันกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกที่พิเศษถึงจะรู้สึกถึงมันได้ แต่บางสิ่ง บางฟิลลิ่งเราสามารถแบ่งปันและสื่อออกมาได้เหมือนกัน ถ้าหากผมต้องถ่ายเกี่ยวกับเรื่องตัวเองจริง ๆ ที่จริงแล้วก็มีหนังบางเรื่อง ที่ผมอยากจะถ่ายทำขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังเขียนไม่เสร็จ และหนังเรื่องนั้นก็ไม่สามารถหาใครที่เขียนได้ เนื่องจากผมต้องการเขียนบรรยายด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามผมยังไม่ใช่คนเขียนบทที่มีฝีมือขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาแล้วคนเขียนบทแล้ว ถึงตอนนี้ผ่านไปหลายเดือนแล้วผมก็ยังไม่มีเวลากลับไปเขียนเลย ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวผมตอนเด็กอายุประมาณ 11-12 ที่ต้องออกจากบ้าน ตามพ่อแม่ไปประเทศไทย ครอบครัวผมคือชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย แต่ตอนนั้นที่ผมไปประเทศไทย ผมไม่ได้รู้สึกว่าเหมือนผมได้กลับบ้าน คิดแค่ว่าจากบ้านเกิดมา เพื่อไปประเทศอื่นเท่านั้น ความรู้สึกในช่วงเวลานั้นยังไม่สามารถลืมไปได้ บางทีบทของเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องเล่า อาจจะแตกต่างหนังเรื่องอื่น ๆ เพราะหนังของผมจะเป็นแนวดราม่าและมีการเล่าเรื่อง ทั้งนี้หนังเรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนเรื่องที่ผมเคยทำมา แต่จะเต็มไปประสบการณ์ตรงในช่วงชีวิตของผมเอง แต่ก็หวังว่าหนังเรื่องนี้อาจทำให้รู้สึกถึงช่วงชีวิตในวัยเยาว์ที่จะต้องกลายไปเป็นคนแปลกหน้าในที่อื่น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ทำไมถึงกลายมาเป็นผมได้ทุกวันนี้ หากผมได้มีโอกาสสร้างหนังในช่วงเวลานั้นของผมจริง ๆ ผมหวังว่าผมจะเขียนมันออกมาและได้ถ่ายทำมันจริง ๆ

ถาม : คุณพอใจไหมกับคะแนนของ box office? คนดูหนังแนวที่มีธีมกีฬาเป็นอย่างไรบ้าง มีจำนวนจำกัดหรือป่าว?

ปีเตอร์ ชาน : หากต้องการที่จะถ่ายทำให้สำเร็จ ที่จริงแล้วไม่ใช่มีแค่พวกเราที่แสดงบทบาทเท่านั้น ทั้งนี้ความเป็นศิลปะที่แฝงไว้ในภาพยนตร์ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำได้อย่างไร ต้องได้รับการการันตีจากทางคนดูและตลาดของหนังจริง ๆ ที่จริงแล้วพวกเราพยายามกันอย่างเต็มที่ในการถ่ายทำเรื่อง ตบให้สนั่น (Leap) ส่วนด้านการดำเนินการสร้างและผลิต ผมค่อนข้างพอใจมาก อีกทั้งยังคิดว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่ได้กำกับถ่ายทำเรื่องนี้ ในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ยังถือว่าทำออกมาได้ดีที่สุดแล้ว แต่ทางตลาดหนังจะวิจารณ์กลับมาอย่างไรนั้น ก็ต้องให้ตลาดหนังเป็นตัวตัดสินไป ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราจะยอมรับโดยดี ในเมื่อตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดแล้วโดยข้อไร้กังขาใด ๆ แค่นี้ก็ถือว่าสำเร็ที่สุดแล้ว อีกอย่างประเภทของหนังมีหลากหลายมาก และคุณก็ไม่ควรถ่ายทำอยู่แต่หนังประเภทเดิม ๆ

ถาม : คนดูรู้สึกว่าในหนังมีการเสียน้ำตามากเกินไป จนเรียกร้องให้คุณ ชดใช้ค่ากระดาษทิชชู่ คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคำเหล่านี้?

ปีเตอร์ ชาน : มีหลายคนเคยบอกผมว่า ดูหนังของผมทีไรต้องร้องไห้ทุกครั้ง ผมเลยไม่รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำติหรือคำชม การแสดงออกด้านอารมณ์ในหนังที่ผมกำกับค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติ มีการแสดงออกโดยธรรมชาติ ที่จริงแล้วมันเป็นสัญชาตญาณหรือธรรมชาติของผม เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบดูหนังมาก บางครั้งก็รู้สึกคล้อยตามหนัง ดังนั้นหลายครั้งที่เวลาผมกำกับ จะทำให้การแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด บางคนที่ร้องไห้อาจจะชอบจนรู้สึกคล้อยตามตัวละครและการดำเนินเรื่อง หรือแม้แต่บางคนอาจจะคิดว่ามีความอ่อนไหวทางด้านอารมณ์เกินไป

ผู้กำกับแต่ละคนมีคาแร็คเตอร์แตกต่างกัน ผมคิดว่าผมเปลี่ยนตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว จะแสดงออกโดยธรรมชาติเอง ผมกำกับหนังมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียงคนดู โต้เถียงกับนักวิจารณ์ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในสิ่งที่เราเป็น ผมยอมรับมันเสมอไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือแม้กระทั้งคำติ

ถาม : นักร้องเพลงโปรโมทหนังเรื่อง ตบให้สนั่น Leap คือ อี้ หยางเชียนสี่ (แจ็คสัน) เขาเพิ่งจะได้รับรางวัล Hundred Flowers Awards รางวัลช่อดอกไม้ สาขานักแสดงหน้าใหม่ ทางผู้กำกับคิดว่ามีโอกาสจะกลับมาร่วมงานกับเขาอีกหรือไม่?

ปีเตอร์ ชาน : แน่นอน ในอนาคตอาจจะมีการร่วมงานกัน ต้องคอยรอดูเรื่องสคริปต์หรือแม้กระทั่งบทบาทที่เหมาะสมกับเขาด้วย

LEAP ตบให้สนั่น ภาพยนตร์แชมป์อันดับ 1 BOX-OFFICE ในจีน 5 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์

 

เจาะใจผู้กำกับ "ปีเตอร์ ชาน" ถึง "LEAP ตบให้สนั่น" ภาพยนตร์เปิดตัวอันดับ 1 BOX-OFFICE ที่ทำให้ชาวจีนเสียน้ำตาที่สุดของปีนี้