นายแพทย์สุรสิทธิ์ อัศดามงคล

นายแพทย์สุรสิทธิ์ อัศดามงคล

Cure for Every People

การทำศัลยกรรมจำเป็นกับคนไข้ขนาดไหน
ปัจจุบันนั้นเรื่องของการศัลยกรรมหรือเรื่องเกี่ยวกับความสวยความงามอาจจะนับได้ว่าเป็นปัจจัยที่ห้าในชีวิตประจำวันไปแล้ว นอกเหนือไปจากอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของการศัลยกรรมถูกแทรกซึมเข้ามาจนกลายเป็นค่านิยมในสังคมคนไทยมานานแล้ว ซึ่งเราต้องแยกให้ออกก่อนว่าการศัลยกรรมนั้นทำไปเพื่อประโยชน์ทางด้านไหน มันก็มีทั้งการศัลยกรรมตกแต่ง หรือว่าจะเป็นการศัลยกรรมเพื่อความงาม สำหรับโรงพยาบาลบางมดที่ตั้งอยู่บนถนนพระรามสอง เมื่อสมัยก่อนบริเวณนี้จะเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากจากการทำถนนไม่รู้จบ ถึงขนาดถูกเรียกว่าเป็นถนนที่ซ่อมแล้วซ่อมอีกไม่จบสิ้น ทำให้ทางโรงพยาบาลมีชื่อเสียงจากการรักษาคนไข้ในส่วนของการศัลยกรรมตกแต่งหลังเกิดอุบัติเหตุ เช่น กรามหัก หน้าแตก จมูกหัก เป็นต้น ถ้าถามถึงความจำเป็นในการทำศัลยกรรม ส่วนของศัลกรรมตกแต่งก็ต้องถือว่าจำเป็นแน่นอน เหมือนเป็นการทำให้คนไข้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ แต่ในกรณีของการศัลยกรรมความงาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะพร้อมเข้ารับการรักษา เรื่องของการศัลยกรรมความงามเป็นเรื่องของความมั่นใจมากกว่าครับ

แนวคิดการเปิดโรงพยาบาลมีความเป็นมาอย่างไร
“แรกเริ่มเลยก็คือ ผมจบแพทย์ที่คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จบที่ธรรมศาสตร์ได้เป็นแพทย์เฉพาะทาง และสุดท้ายก็ได้มีโอกาสศึกษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี พอเรียนจบก็ได้มีโอกาสไปใช้ทุนที่จังหวัดนครราชสีมา ในสมัยตอนที่ผมยังเป็น Intern อยู่ที่โคราชนั้นผมเป็นศัลยแพทย์คือแพทย์ที่ทำหน้าที่ผ่าตัด แล้วช่วงปีใหม่ทุกคนจะกลับบ้านกันหมด แต่ผมจะชอบอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า รุ่นพี่ก็จะเห็นผมอยู่ในห้องผ่าตัดตลอด รุ่นพี่ผลัดเวรกันที่ไรก็จะเห็นหน้าผมตลอด 3-4 วัน ช่วงนั้นมีอุบัติเหตุเกิดเยอะมากอย่างที่ทราบกันในช่วงเทศกาล แล้วศัลยแพทย์มีแค่ผมคนเดียว เลยต้องผ่าตัดทุกเคสที่เข้ามาพอผ่านช่วงนั้นมาผมก็ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจักราชเพื่อใช้ทุน โรงพยาบาลมีเตียงแค่ 10 เตียงครับ แต่มีการผ่าตัดทุกอย่าง ตอนนั้นเหนื่อยมากแต่สนุก ได้ชาวบ้านช่วยเหลือซื้อเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มาเตรียมให้ ซึ่งในยุคนั้นศัลยแพทย์ยังมีไม่มาก ผมก็เลยต้องเป็นคนทำเคสเองทั้งหมด ต้องทำเป็นหลายอย่างครับ ไม่งั้นคนไข้คงไม่มีใครช่วยเหลือได้ทัน แต่พอมาในสมัยนี้ แพทย์เฉพาะทางมีเยอะมากขึ้น ตรงข้ามกับสมัยผมที่แพทย์ส่วนนี้มีน้อย ดังนั้นแพทย์คนนึงจะทำได้หลาย ๆ อย่าง แต่สมัยนี้เราจะทำเกินหน้าที่กันไม่ได้ เพราะแค่นิดหน่อยก็ล้ำเส้นแพทย์เฉพาะทางอาจจะทำให้ถูกฟ้องร้องได้ ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเราก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย 
จนวันนึงผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับเพื่อนที่เป็นแพทย์ด้วยกัน เราก็เริ่มมีความคิดที่จะเปิดคลินิกเป็นของตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็ขยับขยายกันมาเรื่อย ๆ จากคลินิกก็ปรับให้ใหญ่ขึ้นหน่อยเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ ช่วงแรกมีเตียงคนไข้แค่เพียง 50 เตียง ก็ค่อย ๆ ขยายเติบโตขึ้น เพิ่มเป็น 100 เตียง 200 เตียง และ 400 เตียงในที่สุด พอโรงพยาบาลเริ่มเข้าที่เข้าทาง ตัวผมเองจึงได้ไปศึกษาต่อทางด้านศัลยกรรมความงาม ด้วยความที่สนใจเป็นพิเศษ ประกอบกับในสมัยนั้นการศัลยกรรมในเมืองไทยยังไม่ได้รับความนิยมมาก ซึ่งผมมองว่าอนาคตมันจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ก็เลยไปศึกษาเพิ่มครับ”

แนวทางการทำงานในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล
“แนวทางการทำงานของผมก็เป็นเหมือนหมอทั่วไปครับ ก็คือต้องถือความอดทนและซื่อสัตย์ต่อคนไข้เป็นสำคัญ จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังยึดถืออยู่ เพียงแต่บทบาทหน้าที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ตอนนี้ผมเป็นทั้งหมอผ่าตัดและเป็นผู้บริหาร ด้วยความที่อายุเราก็มากแล้วปัจจุบันก็เลยได้ให้ลูกชายที่จบแพทย์ทั้งคู่มาช่วยกันดูแลครับ คนนึงดูแลส่วนงานด้านบริหาร อีกคนก็ทำการรักษา คือแยกหน้าที่กันไปเลย ผมก็งานเบาลงเยอะ เป็นหมอเราจะไม่ค่อยมีเวลาว่างมากมายเท่าไหร่ ถ้าพอมีจังหวะพักผมก็มีเข้าฟิตเนสบ้าง วันหยุดก็อาจจะ
ไปตีกอล์ฟ ส่วนวิธีคลายเครียดก็จะออกกำลังกายหรือร้องเพลงบ้าง เข้าสังคมบ้างเพราะจะได้เรียนรู้ว่าอาชีพอื่น ๆ เค้าเป็นอย่างไร เพราะแพทย์เนี่ยจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวภายนอก ก็ออกไปสังสรรค์บ้างแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนอาชีพอื่น ๆ 

“ธุรกิจโรงพยาบาลต่อไปก็ต้องมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ครับ ตอนนี้เมืองนอกเค้าก็มีในเรื่องของสเต็มเซลล์ หรือว่าเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้านการแพทย์เราก็จะพัฒนาไปให้ถึงจุดที่ได้รับการยอมรับ ส่วนใหญ่ก็ถ้าเป็นเทคโนโลยีสูง ๆ ใหม่ ๆ ค่าใช้จ่ายก็มีเพิ่ม อย่างสมัยก่อนการฉีดโบทอคฉีดเข็มละ 50,000-60,000 บาท แต่ในสมัยนี้เหลือเข็มละ 1,000-2,000 บาท ก็เหมือนกันพอมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ค่าใช้จ่ายก็จะแพงขึ้น พออยู่ตัวแล้วจึงค่อย ๆ ลดค่าใช้จ่ายลง อย่างเลเซอร์นี่ผมซื้อ 10 กว่าล้าน ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเหลือแค่แสนเดียว พอเทคโนโลยีมีการพัฒนาที่สูงขึ้นเราก็ต้องตามให้ทัน ส่วนเรื่องของการขยายกิจการ เราก็วางแผนไว้คร่าว ๆ บ้างแล้ว มีที่ทำเลต่าง ๆ ไว้ แต่อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้”

ผลกระทบของผู้ป่วยในปัจจุบัน
“คุณลองนึกภาพดูตามนะ ธุรกิจพวกอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพวกนี้กำลังเติบโตขึ้น ซึ่งก็เป็นการพัฒนาตามเทคโนโลยีรวมถึงสิ่งแวดล้อม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว พวกอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยังไม่ค่อยฮิตเท่าไร แต่ว่าในปัจจุบันเรามีช่องทางทำมาหากินออนไลน์เยอะแยะไปหมด ทำให้ไม่สามารถคัดกรองได้อย่างทั่วถึง สิ่งที่เราทำได้ในฐานะของหมอก็คือการให้ความรู้ความเข้าใจกับคนไข้ อย่างเช่น เรื่องของยาลดความอ้วน นี่ถือว่าเป็นอันตรายหากไม่มีแพทย์แนะนำแล้วรับประทานต่อไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี ดังนั้นควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนการฉีดเพื่อความงามก็ถือว่าเป็นอันตรายมากเพราะผมเจออยู่ทุกวัน แม้แต่คนมีความรู้ก็ไปฉีดโดยไม่คำนึงถึงผลระยะยาว จริงอยู่ที่ในระยะสั้นก็จะดูดีดูสวย แต่ในระยะยาวเนี่ยจะแก้ไขได้ลำบาก ซึ่งส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนที่ฉีดผ่านมาระยะยาวแล้ว 20 ปีแล้ว ทั้งฉีดหน้า ฉีดหน้าอก ฉีดสะโพกต่าง ๆ และบางคนมีโรคแทรกซ้อนด้วยทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยาก

ภาพรวมศัลยกรรมในเมืองไทยเป็นอย่างไร
เรื่องของการศัลยกรรมในประเทศไทยถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาระยะหนึ่งแล้วนะ การทำศัลยกรรมของไทยค่อนข้างมีชื่อเสียงระดับโลก คนไข้ต่างชาติมากมายหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการด้านการศัลยกรรมเสริมความงามไทยเป็นจำนวนมาก เรียกว่าได้รับการยอมรับในระดับสูงก็ว่าได้ ตัวผมเองก็มีโอกาสได้ไปบรรยายที่ต่างประเทศอยู่บ้าง ฝีมือของแพทย์ไทยเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแพทย์ต่างชาติเลย แม้กระทั่งแพทย์ของเกาหลีเองยังมาดูงานที่บ้านเราทุก ๆ ปีครับ คือในเกาหลีเนี่ย ทั้งแฟชั่น ทั้งวัฒนธรรมต่าง ๆ เรื่องของ
การศัลยกรรมค่อนข้างแพร่หลาย ดังนั้นอิทธิพลต่าง ๆ จากวัฒนธรรมเกาหลีก็เลยเข้ามามีบทบาทกับคนไทยค่อนข้างมาก พอเสพวัฒนธรรมเกาหลีเข้ามามากเข้า เห็นว่าเค้าทำแล้วสวยก็อยากที่จะไปทำบ้าง แล้วทีนี้ก็เลยต้องไปทำศัลยกรรมไกลถึงเกาหลี ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่าแพทย์เกาหลีกับแพทย์ไทยฝีมือไม่ได้ต่างกันหรอกครับ ที่ต่างกันคือเรื่องของการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน รวมถึงการโฆษณา เกี่ยวกับการศัลยกรรมที่บ้านเค้าค่อนข้างจะเปิดกว้างกว่า

ในอนาคตทิศทางการศัลยกรรมไทยจะเป็นไปในทิศทางไหน
ในเรื่องของการแพทย์เองนั้น ต่างชาติกำลังมุ่งความสนใจไปยังเรื่องของ สเต็มเซลล์ ซึ่งถือเป็นมุมมองการรักษาที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันค่อนข้างมาก ด้วยความที่สเต็มเซลล์มันเป็นเรื่องใหม่ เป็นเซลล์ต้นแบบของมนุษย์ที่สกัดออกมาจากร่างกาย ทำให้อันตรายที่ส่งผลกระทบโดยตรงนั้นแน่นอนว่ามีไม่มากเท่ากับสิ่งแปลกปลอมภายนอกชนิดอื่น คือสเต็มเซลล์ในเรื่องของวงการแพทย์อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมานานแล้ว แต่ในวงการศัลยกรรมเป็นอะไรที่ยังเป็นนวัตกรรมที่ติดเรื่องข้อจำกัดบางอย่างอยู่ ในขณะที่ต่างชาติกำลังวิจัยกันอย่างเต็มที่ ทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคน เลือกที่จะไปทำศัลยกรรมสเต็มเซลล์กันที่ต่างประเทศมากกว่า ซึ่งก็แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายมันก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย สำหรับเรื่องของสเต็มเซลล์กับการศัลยกรรมในประเทศไทยยังคงต้องพัฒนากันต่อไปในหลาย ๆ แง่มุมครับ


คิดว่าสวัสดิการทั่วไปของประชาชนคนไทยเข้าถึงการรักษาได้อย่างเพียงพอหรือยัง
“ผมว่าประเทศเราก็ค่อนข้างเจริญถ้าลองเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ผมว่าบ้านเราค่อนข้างจะดีกว่าอีกนะ 30 บาท รักษาทุกโรค ประกันสังคม คือในส่วนของสวัสดิการในประเทศไทยค่อนข้างดี แต่ปัญหามันอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่าว่าจะรองรับการรักษาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนก็เริ่มมีการกระจายผู้ป่วยให้กับ
โรงพยาบาลเอกชนทั่วไปแล้ว อาจจะยังไม่มากแต่ก็เริ่มเป็นรูปร่าง ปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องหมอที่ขาดแคลนมากกว่า นึกออกไหมว่าตามโรงพยาบาลรัฐจะมีหมอที่เก่งจริงจังอยู่เป็นจำนวนน้อย นั่นก็เพราะว่ารายได้ของพวกเขานั้นไม่คุ้มกับความเหน็ดเหนื่อย ทำให้หมอเก่ง ๆ ส่วนใหญ่อยากที่จะย้ายไปทำงานกับโรงพยาบาลเอกชนมากกว่า เรื่องตรงจุดนี้ต่างหากที่รัฐควรเข้ามาช่วยเหลือ 
“ผมว่าสวัสดิการของประเทศเราก็ใช้ได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ ๆ ผมคิดว่าค่อนข้างดีถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ แล้ว แต่อย่างที่เรียนไปครับ เรื่องของหมอกับโรงพยาบาลรัฐน่าเป็นห่วงกว่า รวมถึงเรื่องของงบประมาณ ที่โรงพยาบาลรัฐแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจะไม่แพงเมื่อเทียบกับเอกชน ทำให้โรงพยาบาลรัฐบางแห่งมีงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นส่วนที่ทางโรงพยาบาลต้องแบกรับปัญหาเหล่านั้น งบประมาณไม่มากแต่ผกผันกับจำนวนผู้ป่วย โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งก็เริ่มที่
จะบริหารกันลำบาก ตรงจุดนี้จึงอยากให้ทางภาครัฐเข้ามาดูแลมากกว่าครับ” 

ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลประสบความสำเร็จ
“ก็คล้าย ๆ ร้านอาหารทั่ว ๆ ไปมันจะต้องมีอะไรเด่นสักอย่างสองอย่าง อย่างของเรานี่ก็จะเด่นเรื่องของการศัลยกรรม รวมไปถึงเรื่องของความสวยความงามมาแล้วกว่า 30 ปี โดยที่จะมีการบอกข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนไข้ว่าทำแล้วจะออกมาเป็นแบบนี้นะโอเคไหม และเราก็จะเน้นในเรื่องของการทำให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ก็คือเจ็บน้อยหายเร็วแต่มีความเป็นธรรมชาติ และฝีมือของบุคลากรของทางเราก็มีคุณภาพมาก และได้เป็นที่ไว้วางใจจากบุคคลต่าง ๆ แต่ถ้าอยู่แบบทั่ว ๆ ไปก็จะอยู่รอดได้ยาก
“ที่สำคัญอีกอย่างคืออยากจะฝากไปยังหมอรุ่นใหม่ ๆ ควรที่จะใจเย็นเพราะบางทีก็ใจร้อนไปค่อย ๆ ก้าวไปทีละสเต็ป หมอบางคนที่จบมาด้านความงาม บางคนก็ใจร้อนอย่างเคสที่ยาก ๆ ก็ไปรับทำบางทีอาจจะมีผลเสียตามเช่นโดนฟ้อง จนต้องหยุดทำกันไปเลยก็มี เราเลือกทางที่ต้องเสียสละแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ อาชีพคนเป็นหมอน่ะถือว่าเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละนับตั้งแต่วันแรกที่เลือกเรียนแล้วครับ”

 

Cure for Every People