คริสโตเฟอร์ ไรท์
คริสโตเฟอร์ ไรท์ คือหนึ่งในครูพันธุ์ใหม่ที่หลายบอกบอกว่าเขาเป็นครูของเด็กแนว ที่พยายามถ่ายทอดความคิดการเรียนการสอนด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบ ซึ่งอาจแตกต่างจากรูปแบบที่เราเคยเห็นกัน แต่กลับแฝงความสนุกไปในตัว เขาคือครูที่อายุสามสิบต้นๆ มีผลงานการเขียนหนังสือด้านภาษาอังกฤษไปแล้วเกือบสิบเล่ม เปิดโรงเรียน Chris English มีรายการโทรทัศน์เกี่ยวภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า Chris Delivery แถมยังมีทอล์คโชว์ออกมานำเสนอให้คนได้ดูอีกด้วย ถือว่าเป็นคนที่ทำอะไรมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ถ้าพูดถึงสิ่งที่ทำให้คนรู้จักผมมากที่สุดก็น่าจะเป็นรายการ Chris Delivery รองลงมาก็คงจะเป็นหนังสือ ตัวท้อล์กโชว์ก็มีเหมือนกัน คือผมจะพยายามเข้าไปในศิลปะที่คนไทยชอบเสียมากกว่า” คริสโตเฟอร์ ไรท์ พยายามอธิบายถึงตัวตนด้วยวาจาที่ชัดคำและรวดเร็ว
เขาเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ โดยมีแม่เป็นครูสอนภาษาไทย และมีพ่อเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ทำให้การใช้ภาษา และการใช้ชีวิตสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งสองทาง ในช่วงหนึ่งเขาได้ไปใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษ แต่รู้สึกว่าไม่ชอบจึงกลับมาเรียนที่ประเทศไทยแทน การค้นหาตัวเองสำหรับเขานั้นถือว่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเป้าหมายที่ชัดเจน บวกกับการลงมือทำอย่างจริงจังจนทำให้มีผลงานโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ
“ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาบนโลกนี้เพื่อทำอะไรสักอย่าง แต่คนส่วนใหญ่มักจะค้นหาตัวเองไม่เจอ พอเราชอบอะไรสักอย่างคนเราจะไม่หยุด แล้วจะทำได้ตลอดเวลา ผมโชคดีมาที่ผมค้นหาตัวเองเจอ ถ้านั่งไทม์แมชชีนกลับไปในสมัยก่อน 15 ปีที่แล้ว ไปบอกตัวเองว่าจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แล้วเปิดโรงเรียน ตัวผมตอนนั้นคงคิดว่าบ้ารึเปล่า เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้ได้
“พอเรียนจบ เราค้นหาตัวเองเจอว่าเราจะมาเป็นอาจารย์ แต่คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรกับตัวเองชีวิตก็จะหยุดอยู่แค่นี้ คือเป็นอาจารย์แก่ๆ สอนไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไร ก็เลยวางแผนขึ้นมาว่าจะต้องทำอะไรบ้าง โดยเห็นคุณแอนดรูว์ บิ๊ก ที่เป็นต้นแบบว่าเขาทำอะไรบ้าง มีรายการโทรทัศน์ แล้วก็เขียนหนังสือ ช่วงนั้นจะมีนักพูดเยอะ ก็อยากทำบ้าง แล้วเราก็คิดว่าเป็นลูกจ้างเขาอย่างเดียวไม่รวยแน่ๆ ก็เลยต้องมีโรงเรียนสอนภาษาของตัวเอง คือต้องคิดว่าจะทำอะไรเป็นสเต็ปที่ 1 คือคนที่จะประสบความสำเร็จต้องคิดอย่างเป็นขั้น บางคนบอกว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมบอกว่าไม่จริง คุณต้องรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร คุณต้องรู้ว่าเดือนหน้า หรือปีหน้าต้องทำอะไร คุณจึงก้าวเป็นสเต็ปไปเรื่อยๆ”
แต่นั่นเป็นแค่แนวความคิดเท่านั้น เพราะชีวิตจริงเขาเริ่มเดินทางโดยการไปหาสมัครงานในตำแหน่งอาจารย์ โดยสมัครไปทั้งหมด10 กว่าแห่ง แต่ไม่มีใครรับ ด้วยความไม่ท้อ เขาพยายามสมัครต่อไป จนในที่สุดก็ได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
“ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนมีกุญแจอยู่ดอกหนึ่ง เพียงแต่เราไขประตูผิด เราก็ไขไปเรื่อยๆ แล้วมองต่อไปว่าเราต้องเขียนหนังสือ เชื่อรึเปล่าว่าผมไปเสนอสำนักพิมพ์ 10 กว่าที่ ไม่มีใครเอา แต่โชคดีที่ผมทำงานให้เนชั่น เขาก็เลยให้ผมไปเสนอที่เนชั่นบุ๊ค แล้วก็ได้ออกหนังสือ”
ในที่สุดเขาก็มีทั้งพ็อกเก็ตบุ๊กและโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จนทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้จักเขา แต่นั่นก็เป็นเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขาจริงๆ ก็คือการที่รายการเจาะใจเชิญเขามาเป็นแขกรับเชิญ หลังจากนั้นกระแสตอบรับในตัวเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หนังสือขายได้เป็นจำนวนมาก โรงเรียนที่เปิดสอนก็มีคนมาเรียนเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ทำรายการChris Delivery ซึ่งเป็นรายการภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่รายการในประเทศที่มีคนนิยมดู เขากลายเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ก็ว่าได้
“คนไทยชอบคิดว่าครูต้องอยู่เบื้องบน แต่ผมมองว่าผมเป็นครูติดดิน ครูเด็กแนว โดยมีบางคนบอกว่าผมเก่งไม่จริง เพราะอาจจะเน้นเรื่องบันเทิงเยอะ ปีหน้าผมจะเบี่ยงเบนเรือของผมเข้าไปสู่การศึกษา เพื่อโชว์ให้คนเห็นว่าผมศึกษามาเยอะ รู้เยอะ ผมเขียนหนังสือเอง ทำรายการเอง ทำทอล์คโชว์ มีเสียงตำหนิก็ไม่เป็นไร แต่ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมพยายามเปลี่ยนทัศนคติของคนไทย เพราะครูสูงส่งไม่ได้อยู่บนดินมันสื่อสารกันยาก บางครั้งอาจจะมีปัญหาเรื่องการข้ามเส้นอยู่บ้าง แต่ผมก็มีเส้นขีดเอาไว้เหมือนกัน”
จากที่อยู่ในวงการสอนภาษาอังกฤษมาระยะหนึ่ง ทำให้เขามองเห็นถึงสาเหตุที่คนไม่สามารถเก่งภาษาอังกฤษได้ เพราะทุกวันนี้คนไทยมองภาษาอังกฤษว่ายาก น่าเบื่อ เรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ นั่นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่พยายามทำให้คนเห็นว่า ภาษาอังกฤษมันง่าย ด้วยการเรียนการสอนที่สนุกสนาน ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
“ขั้นแรกคือต้องเปิดใจชอบมันก่อน ถ้าไม่ชอบก็จบ งานของผมคือการนำภาษาอังกฤษเข้าไปสู่ในหัวใจของคนหมู่มากระดับประเทศเลย คือถ้าใจชอบ เดี๋ยวหูตาปากมันจะเปิดเข้ามาเอง ถ้าใจไม่ชอบ จะพยายามยัดให้เขาพูดให้เขาฟัง เขาก็ไม่ชอบสักเท่าไหร่ เพราะชอบมองภาษาอังกฤษเป็นคอร์สสั้นๆ หาทางลัดแล้วก็จบ แต่ความจริงมันเป็นสิ่งที่ต้องเรียนหรือฝึกกันอย่างต่อเนื่องเช่น ดูหนังฟังเพลง คือคุณต้องหัดใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองก่อน เวลาที่มีเพลงภาษาอังกฤษก็หัดสังเกตและเรียนรู้ว่าเขาร้องอะไรบ้าง
“ปีหน้าผมจะเขียนหนังสือ สาเหตุที่คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ 69 เหตุผล อย่างเช่น ระบบการเรียนการสอนในประเทศไทยจะชอบสอนไวยากรณ์ก่อน ซึ่งทำให้หลักสูตรนั้นดูยาก ไม่เหมาะกับเด็กเพราะเด็กไม่สามารถทำได้ จนในที่สุดก็เรียนจบออกมาโดยแทบจะไม่ได้รู้ภาษาอังกฤษ”
Know Him
• เขาเรียนจบปริญาตรี Mahidol University Internationnal College (MUIE), Bangkok Patana School,Ruamrudee International School ซึ่งอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด
• งานเขียนหนังสือของเขาจากที่ตอนแรกไปเสนอสำนักพิมพ์ไม่มีใครรับ ปัจจุบันเขาเขียนหนังสือที่มีการตีพิมพ์ไปแล้ว 7 เล่ม
• นอกจากนี้เขายังเคยเล่นหนังเรื่อง ดรีมทีม และได้พากย์เป็นทอมมี่ในหนังเรื่อง มะหมา 4 ขาครับ